วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

การทำ น้ำส้มสายชูหมัก

"ลิขิตฟ้า หรือจะสู้ มานะคน"



วันนี้ workdeena จะแนะนำการทำ "น้ำ ส้มสายชูหมัก" ในบ้านเราโดยทั่วไปก็จะมีเพียงน้ำส้มสายชูกลั่น เป็นน้ำใสๆ สีขาว และมีไม่กี่ยี่ห้อ ที่เป็นที่ยอมรับ แต่ในต่างประเทศมีน้ำส้มสายชูมากมายหลายชนิด และมีหลายสี แล้วยังทำจากวัถุตดิบหลายอย่าง สูตรในการทำน้ำส้มสายชูในต่างประเทศ เขาจะเก็บเป็นความลับขอตะกูลเลยทีเดียว

บางคนก็ใช้วัถุตดิบชนิดเดียว กัน แต่ก็ได้น้ำส้มสายชูที่แตกต่างกันทั่งสี, กลิ่น, รส บางครอบครัวทำเป็นอุตสาหกรรมเล็กๆในครัวเรือน แต่มียอดการส่งซื้อไม่เล็กเลย บางคนก็ทำเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ส่งออกกันเป็นเรื่องเป็นราว นั้นก็เพราะความแปลกใหม่ของน้ำส้มสายชู

เพื่อนๆ ก็สามารถนำมาทำเป็นอาชีพอิสระได้ สูตรที่ workdeena จะบอกต่อไป เป็นสูตรการทำน้ำส้มสายชู แบบไทยๆ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของคนสมัยก่อน ถ้าเพื่อนๆ อยากนำไปดัดแปลง หรือลองทำ เพื่ออาชีพ อิสระ workdeena ก็ยินดีอย่างยิ่ง

- การทำน้ำส้มสายชูนั้น สามารถทำได้จากวัตถุดิบหลายอย่าง เช่น
  • ข้าว
  • องุ่น
  • แอ ปเปิล
  • ผลไม้รวม
  • มะพร้าว
  • ปาล์ม
  • ลูกเกด
  • น้ำ ผึ้ง
  • น้ำอ้อย
  • น้ำสับปะรด

และยังสามารถใช้วัถ ุตดิบอื่นๆ ได้อีกนอกเหนือจาำกที่ workdeena ได้บอกไป เรามาดูวิธีการทำน้ำส้มสายชูหมักกันดีกว่า
ส่วนผสม - น้ำสัมสายชูจากน้ำอ้อย
  1. น้ำ อ้อย 1ส่วน
  2. น้ำเปล่า 8 ส่วน
  3. ลูกแป้งข้าวหมาก 1/2 ลูก

วิธีทำ
  • ให้ นำน้ำอ้อยมาผสมรวมกันกับน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน
  • และให้ใส่ภาชนะที่ สะอาด เช่น โหลแก้ว
  • หลังจากนั้นให้เติม ลูกแป้งข้าวหมากบดละเอียดลงไป
  • แล้วปิดปากโหล(ไม่ควรใช้ที่ปิดที่ เป็นโลหะ) เก็บขวดโหลไว้ในที่อบอุ่น ทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน ก็จะได้น้ำส้มสายชู ที่มีกลิ่นหอมของน้ำอ้อย แต่ยังกินไม่ได้่ ต้องนำมากรองโดยผ้าขาวบางเสียก่อน แต่บางคนก็เอามาต้มก่อนแล้วทิ้งไว้ให้ตะกอนนอนก้น แล้วก็ใช้ผ้าขาวบางกรอง จะได้น้ำส้มสายชูที่ใส

- นี่คือภูมิปัญญาของชาวบ้าน ที่ workdeena ได้เรียนรู้มาจากคนใกล้ชิด ถ้าใครลองเอาสูตรนี้ไปทำแล้วได้ผลอย่างไรก็บอกกันบ้างนะ

ที่มา http://workdeena.blogspot.com/2009/06/blog-post.html

วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

กรรมวิธีทำน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น

ทวีลาภ การะเกด

กรรมวิธีทำน้ำมันมะพร้าวแบบสกัดเย็น

คุณ วัลลี อ่อนมุข เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 รักษาราชการแทน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร กล่าวถึงกรรมวิธีทำน้ำมะพร้าวแบบสกัดเย็นว่า ชาวไทยใช้น้ำมันมะพร้าวในชีวิตประจำวันมานานแล้ว แต่ในสมัยก่อนเป็นแค่น้ำมะพร้าวจากการคั้นกะทิสดๆ แล้วนำไปเคี่ยว ทั้งที่มะพร้าวมีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะสามารถนำมาทาผิว หรือใช้ประโยชน์ในเรื่องอื่นๆ ได้อีกมากมาย ดังนั้น ปัจจุบันจึงมีการเปลี่ยนรูปแบบในการนำมะพร้าวมาใช้ประโยชน์ที่มีมาก มายมหาศาล เพราะน้ำมันมะพร้าวถือเป็นไขมันเชิงซ้อนที่แต่ก่อนคิดว่าเป็นอันตราย

แต่ ขณะนี้พบว่าโมเลกุลของน้ำมันมะพร้าวค่อนข้างสั้น ทำให้การเคลื่อนย้ายเวลาเข้าไปในร่างกาย จึงเดินทางเร็ว ส่งผลให้เกิดการย่อยสลายได้เร็ว ไม่เหมือนไขมันที่ไม่อิ่มตัวซึ่งมีโมเลกุลยาวมาก เมื่อโมเลกุลยาวโอกาสที่คาร์บอนจับตัวจึงง่ายมาก น้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่สามารถบริโภคได้ เพราะมีประโยชน์ในการทำให้ระบบหล่อลื่นในสำไล้ทำงานได้ดีมาก ในช่วงเช้าและก่อนนอนหากสามารถรับประทานน้ำมันมะพร้าวได้สัก 1 ช้อนชา จะทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น

กรรมวิธีทำน้ำมันมะพร้าวแบบสกัด เย็น เริ่มมีการทำเมื่อประมาณ 4 ปี โดยมีการออกไปเผยแพร่ให้บรรดาเกษตรกรรายย่อยมีรายได้เสริมจากวิธีนี้ จนบางรายกลายเป็นรายได้หลัก แล้วยังนำไปแปรรูปเป็นสบู่ ครีมทากันส้นเท้าแตกได้ด้วย สำหรับต้นทุนการผลิตนั้น มะพร้าว 6-7 ลูก จะได้น้ำมันมะพร้าว 1 ลิตร ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้ก็ไม่ยุ่งยากอะไร สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่แล้ว นั่นคือ หม้อตุ๋น ขวดโหลแก้ว และเครื่องครัวที่ล้วนมีอยู่ประจำบ้านทุกบ้าน ขณะนี้น้ำมันมะพร้าวมีราคาลิตรละประมาณ 350 บาท จากเงินลงทุนลิตรละประมาณ 100 บาทเท่านั้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับราคามะพร้าวในช่วงนั้นๆ ด้วย และการลงทุนในเรื่องอุปกรณ์จะลงทุนเฉพาะในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปก็สามารถใช้อุปกรณ์ชุดเดิมได้ โดยเสียแต่ค่ามะพร้าวที่นำมาเป็นวัตถุดิบเท่านั้น

"เกษตรกรรายใดสนใจ ทำน้ำมันมะพร้าว สามารถ โทร.สอบถามมาก่อนได้ที่หมายเลข (077) 556-073 โทรสาร (077) 556-026 ทางศูนย์ยินดีให้คำแนะนำ หรือถ้าสนใจจะเข้ารับการอบรมที่ศูนย์ เราก็มีที่พักไว้บริการด้วย" คุณวัลลี กล่าว

คุณวิไลวรรณ ทวิชศรี นักวิชาการเกษตร ศูนย์วิจัยพืชสวนชุมพร กล่าวว่า นับตั้งแต่ 2548 ที่เริ่มผลิตน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีสกัดเย็น และออกไปเผยแพร่ความรู้แก่เกษตรกร ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สังเกตได้จากการได้รับเชิญไปเป็นวิทยากรเพื่อเผยแพร่ความรู้เรื่องนี้อยู่ เสมอ นอกจากนั้น ยังมีการเปิดอบรมที่ศูนย์ รุ่นละประมาณ 50 คน พร้อมกันนั้น ศูนย์วิจัยฯ ชุมพร ยังไปร่วมออกนิทรรศการทางวิชาการตามสถานที่ต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้ในเรื่องนี้ด้วย

"ผู้ที่ผ่านการอบรมส่วนใหญ่มัก จะ โทร.มารายงานผลให้ทราบว่า การนำความรู้ไปปฏิบัติได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เช่น ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีโครงการสร้างอาชีพให้เกษตรกร เราก็เดินทางไปช่วยให้ความรู้แก่พวกเขา โดยทางศูนย์ได้ดำเนินการสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากมะพร้าวควบคู่กับการ อนุรักษ์พันธุกรรมมะพร้าว โดยได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์และการนำไปใช้ประโยชน์ จะทำการเปิดการฝึกอบรมให้แก่กลุ่มเกษตรกรเป็นระยะ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลผลิตมะพร้าวให้สูงขึ้น เกษตรกรชาวสวนมะพร้าวอยู่ได้อย่างยั่งยืน และร่วมอนุรักษ์พันธุกรรมมะพร้าวไทยด้วย" คุณวิไลวรรณ กล่าว

คุณ วิไลวรรณ เปิดเผยถึงอุปกรณ์ ขั้นตอนการทำน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คำแนะนำในการผลิต รวมทั้งประโยชน์และวิธีการใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ดังนี้

อุปกรณ์ที่ใช้

1. ตาชั่ง

2. เหยือกน้ำพลาสติค มีขีดบอกระดับน้ำ ใช้ตวงน้ำ

3. โถพลาสติค หรือโถแก้วใส

4. ผ้าขาวบาง 2 ผืน ใช้กรองกะทิ และน้ำมัน

5. กระบวย หรือทัพพี สำหรับตักน้ำมัน

6. กะละมังสำหรับคั้นกะทิ

7. หม้อเคลือบสำหรับระเหยน้ำออกจากน้ำมัน

8. เตาแก๊สปิคนิค

9. ตู้เย็น หรือถังน้ำแข็ง

10. ขวดบรรจุน้ำมันเพื่อจำหน่าย

ขั้นตอนการทำน้ำมันบริสุทธิ์

1. คั้นกะทิ โดยผสมน้ำต่อมะพร้าวขูด ในอัตรา 1 : 1

2. นำน้ำกะทิที่ได้ ใส่ในตู้เย็น หรือช่องทำน้ำแข็ง หรือแช่ในถังน้ำแข็ง เพื่อให้กะทิแยกชั้นชัดเจน

3. แยกเอาชั้นครีมชั้นบนของกะทิ มาใส่โถหมัก

4. ปิดโถด้วยผ้าขาวสะอาด ตั้งไว้ 36-48 ชั่วโมง ในที่สะอาด อากาศโปร่ง จะสังเกตเห็นชั้นน้ำมัน เมื่อครบ 24 ชั่วโมง ตั้งไว้จนน้ำมันแยกชั้นสมบูรณ์

5. ตักน้ำมันออกมากรองด้วยผ้าขาวบางที่พับไว้หลายชั้น

6. ไล่น้ำออกไปจากน้ำมันที่กรองได้ ด้วยหม้อต้ม 2 ชั้น สังเกตว่าไม่มีฟองปุดขึ้นมาแล้ว จึงได้ใช้

7. ตั้งทิ้งไว้อีก 1 สัปดาห์ เพื่อให้น้ำมันใสและตะกอนต่างๆ จะตกไปที่ก้นภาชนะ

8. บรรจุขวด จำหน่ายปลีกและส่ง

คำแนะนำในการผลิต

1. ผ่ามะพร้าว แล้วล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำมาขูด

2. ไม่ใช้มะพร้าวงอกและมะพร้าวที่มีตาชื้นแฉะ เพราะหากมีจุลินทรีย์ปะปน จะได้น้ำมันที่มีกลิ่นแรง ไม่เป็นที่ต้องการของตลาด

3. มะพร้าวขูดต้องนำมาคั้นกะทิทันที ไม่ทิ้งไว้หรือแช่ตู้เย็น เพราะหากมีการปนเปื้อนของจุลินทรีย์ทำให้ไม่เกิดการแยกชั้นน้ำมัน

4. หากคั้นกะทิด้วยมือ ควรคั้นนานๆ เพื่อให้ได้กะทิที่มีความมันมาก

5. ควรใช้ภาชนะพลาสติคใสเป็นโถหมัก เพื่อสังเกตการแยกชั้นน้ำมันได้ง่าย

6. ไม่ตั้งโถหมักในห้องครัวเพราะจะมีเชื้อราขึ้นที่ผิวกะทิ



ประโยชน์และวิธีใช้น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

1. ถนอมรักษาให้เส้นผมดกดำ เป็นเงางาม ช่วยขจัดรังแคและเชื้อรา รักษาอาการผมร่วง

วิธีการใช้ ชโลมผมด้วยน้ำมัน นวดคลึงศีรษะ แล้วใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นโพกศีรษะไว้ 30 นาที ก่อนสระผม

2. ปกป้องผิวจากแสงแดดให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ลดริ้วรอยฝ้า กระ จุดด่างดำบนใบหน้า

วิธีการใช้ ทาน้ำมันและนวดก่อนออกไปกลางแจ้ง หรือก่อนลงว่ายน้ำ หรืออาบแดด

3. บำรุงผิวหน้า ปรับสภาพผิวให้นุ่มนวล เต่งตึง มีสุขภาพดี ลดการเกิดสิว และการสะสมของสารเคมีบนใบหน้า

วิธีการใช้ ใช้สำลีชุบน้ำมันแล้วเช็ดทำความสะอาด และใช้ทา นวดผิวหน้าหลังอาบน้ำเช้าและก่อนนอน

4. ลดอาการผื่นแพ้ แสบคันตามผิวหนัง และรักษาเท้าเปื่อยเนื่องจากเชื้อราและแบคทีเรีย

วิธีการใช้ ทาบริเวณผิวหนังที่บาดเจ็บ อักเสบและแสบคันจากการติดเชื้อ

5. ปรับสภาพผิวหนังด้าน และส้นเท้าแตก

วิธีการใช้ ทาน้ำมันมะพร้าวและนวดคลึงบริเวณส้นเท้า ก่อนนอน จะทำให้ฝ่าเท้านุ่มนวล

6. กระตุ้นการทำงานของระบบประสาท รักษากระดูกกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บ

วิธีการใช้ ใช้นวดตัว เพื่อผ่อนคลาย และบำรุงผิวพรรณ

ที่มา http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05060011152&srcday=2009-11-01&search=no

เทคนิคการปลูกผักในกระสอบ

เนื่องจากบริเวณบ้านผมมีต้นไม้เยอะปลูกผักไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากไม่มีแสงแดด จะมีแสงแดดก็เฉพาะบริเวณใกล้ๆ บ้าน ซึ่งไม่สามารถยกร่องปลูกผักได้ ในเมื่ออยากกินผักที่ปลูกเองก็ต้องหาทางแก้ปัญหาด้วยการเอาดินใส่กระสอบแล้ว เอามาวางในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงแล้วปลูก ผมประสบความสำเร็จจากการปลูกแตงไข่เข้ (แตงกวาลูกเล็ก) มาแล้ว ดังภาพ

การวางกระสอบแบบตั้งจะได้พื้นที่น้อย อ.พูลสวัสดิ์ แนะนำว่าถ้าวางกระสอบแบบนอนก็ได้พื้นที่มากกว่า ผมเลยเอาดินใส่กระสอบประมาณ 1/2 กระสอบ มัดปากถุงแล้วผลักให้กระสอบนอนลง ได้พื้นที่มากกว่าจริง แล้วจะปลูกยังไงล่ะคราวนี้ ผมมีเป้าหมายที่จะปลูกผักฮ่องเต้ ก็ไปหาประป๋องปลากระป๋องมา แล้วก็จัดการเจาะรูเท่าขนาดประป๋องปลากระป๋อง แล้วหยอดเมล็ดผักฮ่องเต้ลงปลูก

สำหรับคนที่มีพื้นที่จำกัดจริงๆ บ้านเป็นทาวเฮาส์ผมคิดว่าถ้าไปซื้อดินสำหรับปลูกต้นไม้ ซัก 1 ถุง หรือมากกว่าตามที่มีพื้นที่ที่อำนวย หาเมล็ดพันธ์ผักที่ชอบกินมาลองปลูกน่าจะดีไม่น้อย เพราะจะได้กินผักที่ปลูกด้วยฝีมือตัวเอง ที่สำคัญปลอดสารพิษ และช่วยลดรายจ่ายของครอบครัวได้ทางหนึ่ง

คนที่มีเงินก็จะคิดว่ามันเป็นเรื่องยุ่งยาก มีเงินฉันซื้อเอาก็ได้ แต่คุณก็ซื้อผักแถมสารเคมีตกค้างอยู่ดี ถึงแม้ว่าคุณบอกว่ามีเงินซื้อผักปลอดสารพิษตามห้าง แต่คุณมั่นใจได้อย่างไรว่ามันปลอดสารพิษจริงถ้าคุณไม่ได้ปลูกเอง ที่สำคัญเงินซื้อความสุขจากการได้ปลูก จากการได้เฝ้าดูการเจริญเติบโตของผักไม่ได้ ฝากให้คิดเล็กน้อยครับ

การวางประสอบแบบนอน เหมาะสำหรับการปลูกพวกผักกาด ที่ไม่ลงรากลึกมากนัก
การวางกระสอบแบบตั้ง เหมาะสำหรับการปลูก พริก มะเขือ พืชที่ลงรากยาว


ที่มา http://www.bansuanporpeang.com/node/79