วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าต่างๆ ในพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและการทำนา

สิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าต่างๆ ในพิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและการทำนา
คน ไทยทุกภาค มีประเพณีพิธีกรรม เพื่อขอให้ต้นข้าวในนาอยู่รอดปลอดภัย ได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์เป็นระยะๆ นับตั้งแต่ก่อนการปลูก จนกระทั่งเก็บเกี่ยวได้เมล็ดข้าว ไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง พิธีกรรมของคนไทยในภาคต่างๆ มีทั้งที่คล้ายคลึงกัน และ แตกต่างกัน แสดงให้เห็นการผสมผสาน ของความเชื่อเรื่องผี และ ขวัญ อันเป็นความเชื่อแบบดั้งเดิม กับความเชื่อที่รับจากศาสนาพุทธ และ ศาสนาพราหมณ์

พระรัตนตรัย.........................................................
คือที่พึ่งสูงสุดของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย พิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับข้าวและการทำนาต้องระลึกถึงคุณพระรัตนตรัยก่อน เพื่ออ้างเอาพระคุณมาเป็นที่พึ่ง เป็นพลังอำนาจ ดลบันดาลให้เกิดความสำเร็จตามปรารถนา ทั้งเทพยดาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ก็จะตอบสนองต่อความต้องการของพิธีกรรมนั้นๆ อย่างเต็มที่
แม่ธรณี.........................................................
ตามคติศาสนาพราหมณ์นับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งดิน และศาสนาพุทธก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ดังจะเห็นได้ว่าก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ พระองค์ได้ต่อสู้กับพระยามารและไพร่พลอย่างหนัก แม่พระธรณีได้เข้าช่วยพระองค์โดยบีบน้ำจากมวยผม ซึ่งเป็นน้ำที่พระพุทธเจ้าเคยกรวดอุทิศไว้แต่ก่อนทำให้พระยามารพ่ายแพ้ พิธีกรรมหลายอย่างจึงต้องบูชาแม่ธรณี

แม่คงคา.........................................................
เป็นเทพเจ้าประจำน้ำในแม่น้ำลำคลองที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์ต่างๆ พิธีกรรมต่างๆ ที่จัดขึ้น แม้ว่าจะไม่บูชาแม่คงคาโดยตรง แต่ก็ต้องระลึกถึงเพื่อทดแทนบุญคุณ ทุกครั้งที่ทำบุญ ชาวนาจึงมักจะถือเป็นโอกาสแสดงความเคารพและกตัญญูขอขมาลาโทษหรือขออโหสิกรรม ต่อนางครั้งสำคัญทุกปี

แม่โพสพ.........................................................
ถือว่าเป็นเทพประจำข้าว แต่ละถิ่นมีคติที่มาของแม่โพสพแตกต่างกัน บ้างเชื่อว่าเป็นนางเทพธิดาในสวรรค์ ภรรยาพระอินทร์เมื่อหมดบุญในสวรรค์จึงลงมาเกิดเป็นข้าว แต่บางคติถือว่าแม่โพสพเกิดจากอำนาจญาณอันแก่กล้าของพระฤาสีดาไฟที่ตั้งใจ บำเพ็ญให้เกิดขึ้นเป็นอาหารของมนุษย์ ด้วยเห็นว่ามนุษย์ลำบากนักหนา แต่บางคติถือว่าแม่โพสพเป็นวิญญานของลูกตายายคู่แรกของโลกที่เสียชีวิตไป เนื่องจากไม่มีอาหารกิน เมื่อตายแล้วจึงเกิดเป็นข้าว อย่างไรก็ตามชาวนาทุกถิ่นเชื่อเหมือนกันว่าแม่โพสพเป็นเทพแห่งข้าว เป็นเทพผู้หญิง เว้นแต่คติทางภาคใต้บางถิ่นที่ถือว่ามีทั้งพ่อซึ่งเป็นเพศชายและแม่โพสพที่ เป็นเพศหญิง


ผีทุ่ง ผีนา ผีป่า ผีขุนน้ำ.........................................................
เป็นผีอีกกลุ่มหนึ่งที่อยู่นอกศาสนาหรืออาจจะตกอยู่ ในฐานะที่เป็นคนรับใช้ของผีในศาสนาก็ได้ ต้องเซ่นสังเวยทุกปีหรือทุกครั้ง ไม่เช่นนั้นจะเกิดอาเพศต่างๆ และถ้าเซ่นเครื่องสังเวยแบบใดก็ต้องจัดอย่างนั้นทุกปี จะเปลี่ยนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม หากมีการเชิญเทพที่สูงกว่า ผีเหล่านี้ก็จะกลายเป็นบริวารเทพเหล่านั้น เวลาเซ่นสังเวยไม่ต้องจัดเฉพาะ เพียงแต่ออกชื่อเชิญชวนมารับหลังเซ่นเทพนั้นๆ แล้วก็ได้ดังคำกล่าวว่า “ครั้นท่านเสวยแล้ว ยุรยาตรคลาดแคล้วไปสู่สถาน ยังแต่รอยแดน ยังแต่รอยชาน หมู่พวกบริวารกินสำราญใจ” (บทไหว้เจ้าที่นาจังหวัดพัทลุง)
ท้าวจาตุมหาราช.........................................................
หรือที่รู้จักกันในนามของเท้าจตุโลกบาล เป็นเทพที่รักษาโลกทั้ง 3 ทิศ พิธีกรรมเกี่ยวกับข้าวและการทำนาหลายพิธีต้องเซ่นสังเวย มีท้าวกุเวร ทิศอุดร เป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์ ท้าวธตรฐ ทิศบูรณ์เป็นใหญ่ในหมู่คนธรรพ์ ท้าววิรุฬหก ทิศทักษิณ เป็นใหญ่ในหมู่เทวดา ท้าววิรูปักษ์ ทิศปัจจิม เป็นใหญ่ในหมู่นาค
นาค.........................................................
เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับข้าวและการทำนา อย่างใกล้ชิดที่สุด ในฐานะเป็นผู้พ่นน้ำให้แก่มนุษย์และในฐานะเป็นผู้ทรงแผ่นดิน ในฐานะเป็นผู้ให้น้ำ แต่ละปีนาคจะพ่นน้ำให้ตกในจักรวาลโดยแบ่งสันปันส่วนให้ตกในมหาสมุทร ตกในป่าหิมพานต์ ตกในมนุษย์โลก ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในปีนั้นๆ ซึ่งรวมถึงจำนวนนาค ที่ทำหน้าที่ให้น้ำในแต่ละปีด้วย ส่วนนาคที่ทำหน้าที่ทรงแผ่นดินให้แก่นาคประจำวันนาคประจำเดือนนั้นมนุษย์ ต้องให้ความเคารพยำเกรงและปฏิบัติให้ถูกต้องไม่เช่นนั้นจะเกิดโทษขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทศนาคต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามปกตินาคประจำอยู่ในเมืองบาดาล แต่นาคเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่ต้องขึ้นไปให้น้ำและทรงแผ่นดินแต่ละปี อนึ่ง ทิศนาคนอนนั้นสำคัญยิ่ง อย่าประกอบพิธีกรรมที่ท้าทายนาค เช่น แรกไถนาต้องไม่ไถทวนเกรดนาค เป็นต้น ทิศนาคที่นิยมเคร่งครัด คือ ทิศนาคประจำเดือน ได้แก่เดือน 4,5,6 นาคเอาหัวไปปัจจิม หางไปบูรณ์ ท้องไปอุดร หลังไปทักษิณ แรกไถนาตั้งไถไปทิศบูรณ์ เดือน 7,8,9, นาคเอาหัวไปอุดร หางไปทักษิณ แรกไถนาตั้งไปทิศบูรณ์
พระพิรุณ.........................................................
เป็นเทพแห่งฝนตามคติศาสตร์นาพราหมณ์แต่พุทธศาสนาก็ ไม่ขัดในเรื่องนี้ พระพิรุณมักจะกระทำจากเทพอื่นๆ อีกต่อหนึ่ง ซึ่งจะมีผลต่อมนุษย์ เช่น ต้องจุดบ้องไฟบูชาแถนให้แถนเตือนพระพิรุณให้น้ำแก่นาค เพื่อนาคจะได้พ่นสู่โลกมนุษย์อีกต่อหนึ่ง หรือไม่ก็ต้องแห่นางแมว ทำพิธีปั้นเมฆ เพื่อให้เทพที่รับผิดชอบในสิ่งนั้นๆ คิดสงสารและไปเร่งเร้าพระพิรุณอีกต่อหนึ่ง พระพิรุณจึงเป็นเทพสำคัญองค์หนึ่งที่ชาวนาต้องเคารพบูชา

พระอิศวร พระพรหม พระนารายณ์.........................................................
เป็นเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ที่ผลัดเปลี่ยนกันเป็นใหญ่ที่สุดมาในสมัยต่างๆ และเคยเป็นใหญ่ร่วมกันมา ดังคำกล่าวที่ว่า พระอิศวรผู้สร้าง พระพรหมผู้รักษา พระนารายณ์ผู้ทำลาย พิธีกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับข้าวและการทำนาหรือพิธีกรรมอื่นๆ ต้องบูชาระลึก สังเวย เทพทั้งสามพระองค์นี้อย่างขาดมิได้ เทพทั้งสามองค์นี้มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธอย่างใกล้ชิดและมีอำนาจใน ความสำเร็จของพิธีกรรมต่างๆอย่างสูง

ผีตาแฮก.........................................................
เป็นผีทุ่งผีนา เข้าใจว่าเป็นผีนอกศาสนาหรือผีบ้านที่มีมาก่อนศาสนา ซึ่งชาวบ้านยังนับถือสืบมา โดยเมื่อสร้างไร่สร้างนาขึ้นแล้วจะเชิญผีตาแฮกมาประจำที่นานั้นๆ ตนหนึ่ง ให้ทำหน้าที่ต่างๆ ประจำทุ่งนั้นๆ การเซ่นสังเวยผีตาแฮก ถ้าเคยเซ่นด้วยเครื่องใดต้องเซ่นด้วยสิ่งนั้นทุกปีลดไม่ได้ เพิ่มได้




เอี่ยม ทองดี
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมพัฒนาเพื่อชนบท
มหาวิทยาลัยมหิดล


ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=1163&s=tblrice

วันอาทิตย์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ไม้ผลแปลกและหายาก ที่น่าปลูก ในปี พ.ศ. 2554

ใน รอบปี พ.ศ. 2553 ที่ผ่านไป พบว่า โดยภาพรวมของเกษตรกรชาวสวนผลไม้จะขายผลผลิตได้ราคาค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็นผลไม้เศรษฐกิจ อย่างเช่น ทุเรียน มะม่วง ส้มเขียวหวาน ฯลฯ โดยเฉพาะส้มโชกุนหรือส้มสายน้ำผึ้งราคาสูงขึ้นเท่าตัว เนื่องจากพื้นที่ปลูกส้มลดน้อยลงไปมาก ราคาส้มสายน้ำผึ้งจากสวนส้มธนาธรเมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา มีราคาถึงผู้บริโภคไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาท และมีการคาดการณ์ว่าราคาส้มสายน้ำผึ้งหรือส้มโชกุนจะมีราคาสูงอย่างน้อยอีก 2-3 ปี นอกจากไม้ผลเศรษฐกิจแล้ว ยังมีกลุ่มไม้ผลแปลกและหายากอีกหลายชนิดที่น่าสนใจปลูก เนื่องจากมีคู่แข่งขันทางการตลาดน้อย และยังมีพื้นที่ปลูกไม่มากนัก แต่ผู้ปลูกจะต้องพยายามหาตลาดรองรับ ไม่ว่าจะเป็นตลาดท้องถิ่นหรือตลาดเมืองใหญ่ ไม้ผลแปลกและหายากที่น่าสนใจปลูกในปี พ.ศ. 2554 มีอยู่หลายชนิด



ขนุนลูกผสมพันธุ์ "เพชรดำรง"

เป็น ขนุนที่มีเนื้อสีเหลือง เจ้าของพันธุ์คือ คุณดำรงศักดิ์ วิริยศิริ ผสมพันธุ์โดยใช้ขนุนพันธุ์คุณหญิงเป็นพ่อพันธุ์และพันธุ์ทองประเสริฐเป็นแม่ พันธุ์ ใช้เวลานานถึง 10 ปี จึงได้ขนุนสายพันธุ์นี้ ที่รวมเอาลักษณะเด่นของขนุนมาครบเกือบทุกประการ โดยเฉพาะมีเนื้อหนามากถ้ามีการบำรุงรักษาอย่างดี จะได้ขนุนที่มีเนื้อหนาถึง 2 เซนติเมตร ที่สำคัญเป็นสายพันธุ์ขนุนที่เกิดขึ้นด้วยการผสมพันธุ์จากฝีมือมนุษย์ ซึ่งนับว่าหาได้ยากมาก เนื่องจากขนุนสายพันธุ์ดีๆ ในอดีตที่ผ่านมาเกิดจากการคัดเลือกต้นที่เพาะเมล็ดทั้งหมด ในการปลูกขนุนให้ประสบผลสำเร็จ สิ่งที่เกษตรกรจะต้องดูแลเป็นพิเศษคือ เรื่องของการตัดแต่งกิ่ง เมื่อต้นขนุนมีอายุได้ 3 ปี จะเริ่มออกดอกและติดผล จะต้องมีการตัดแต่งกิ่งให้แสงแดดผ่านถึงลำต้น เพื่อให้มีสภาพอากาศถ่ายเทได้ดี และถ้าจะให้ขนุนที่มีลักษณะผลและยวงที่ดี เกษตรกรควรจะช่วยผสมพันธุ์โดยผสมพันธุ์ในช่วงเวลาเช้าจะเหมาะสมที่สุด



ทับทิมพันธุ์มอลล่า เดอ เอลเช่

ทับทิม จัดเป็นไม้ผลที่มีประวัติการปลูกมายาวนาน ไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี แหล่งกำเนิดอยู่บริเวณประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ปัจจุบันสเปนนับเป็นประเทศที่ผลิตทับทิมเมล็ดนิ่มที่ได้ชื่อว่าอร่อยและ คุณภาพดีที่สุดในโลก โดยมีแหล่งปลูกที่สำคัญอยู่ที่เมืองเอลเช่ (ELCHE) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ ติดกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ผลผลิตทับทิมสเปนจะออกสู่ตลาดและส่งออกไปขายหลายประเทศทั่วโลก ในช่วงระหว่างเดือนกันยายน-กุมภาพันธ์ของทุกปี พันธุ์ทับทิมที่สเปนปลูกในเชิงพาณิชย์จะแบ่งออกเป็น 3 สายพันธุ์หลัก คือ พันธุ์วาเลนเซีย พันธุ์มอลล่า เดอ เอลเช่ และพันธุ์วันเดอร์ฟูล สายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมของตลาดต่างประเทศคือ พันธุ์มอลล่า เดอ เอลเช่ และพันธุ์วาเลนเซีย เนื่องจากมีรสชาติหวานจัด อร่อยมาก (ไม่ติดเปรี้ยวเลย) และมีเมล็ดนิ่ม สำหรับพันธุ์วันเดอร์ฟูลจะมีรสชาติอมเปรี้ยว แต่มีจุดเด่นตรงที่ผิวผลมีสีแดงและเนื้อข้างในสีแดงจัด ในแปลงปลูกพันธุ์มอลล่า เดอ เอลเช่ ที่ผู้เขียนได้ไปดูงานนั้น กิ่งพันธุ์ที่ใช้ปลูกจะใช้กิ่งเสียบยอด หลายคนยังไม่ทราบว่า ทับทิมจัดเป็นไม้ผลที่มีอายุยืนยาวมากที่สุดชนิดหนึ่ง มีอายุได้ไม่ต่ำกว่า 100 ปี แต่ส่วนใหญ่เกษตรกรจะปล่อยให้ต้นทับทิมมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 30-50 ปี ขณะนี้ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้ยอดพันธุ์มอลล่า เดอ เอลเช่ จากประเทศสเปน มาเสียบยอดไว้ในแปลงปลูกที่แผนกฟาร์ม จังหวัดพิจิตร ยอดแตกออกมาใหม่ คาดว่า ในปี พ.ศ. 2554 จะเริ่มให้ผลผลิต



มะม่วงลูกผสม พันธุ์ "ยู่เหวิน"

มี ถิ่นกำเนิดที่ไต้หวัน และเป็นมะม่วงลูกผสมระหว่างพันธุ์จินหวง กับมะม่วงพันธุ์ "อ้ายเหวิน" มะม่วงลูกผสมสายพันธุ์นี้ได้มีการนำยอดพันธุ์มาเสียบยอดในประเทศไทย ประมาณ 4-5 ปี มาแล้ว และเริ่มให้ผลผลิตแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นมะม่วงที่มีลักษณะเด่นและรสชาติดี คือมีผลขนาดใหญ่ น้ำหนักผลเฉลี่ย 1-1.5 กิโลกรัม บริโภคได้ทั้งผลดิบและสุก ในระยะผลดิบหรือห่าม จะมีรสชาติหวานมัน (ไม่มีเปรี้ยวปน) ระยะผลสุกเนื้อจะมีรสชาติหวาน หอม ไม่เละ ไม่มีเสี้ยน และไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ ที่สำคัญสีของผลมีสีม่วงเข้มดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็น จัดเป็นมะม่วงแปลกและหายาก ปลูกและให้ผลผลิตได้ในประเทศไทย มะม่วงพันธุ์ยู่เหวินเป็นมะม่วงที่ปลูกง่ายและเริ่มให้ผลผลิตเมื่อต้นมีอายุ เฉลี่ยได้ 3-4 ปี จากการสังเกตพบว่า ออกดอกและติดผลดีทุกปี



มะขามป้อมยักษ์อินเดีย

ผล งานวิจัยจากหลายประเทศพบตรงกันว่า มะขามป้อม จัดเป็นผลไม้ที่มีปริมาณของสารแทนนินสูง เป็นชนิดที่มีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระต้านสารก่อมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง กำจัดสารพิษจากโลหะหนักออกจากร่างกายและในผลของมะขามป้อมมีปริมาณวิตามินซี สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น วิตามินซีที่พบอยู่ในผลมะขามป้อมมีมากที่สุดในโลก เมื่อเปรียบเทียบกับพืชทุกชนิด ที่สำคัญหลายคนมองข้ามและไม่รู้ก็คือ ในผลของมะขามป้อมจะมีสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์วิตามินซี วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นานในผลแห้งของมะขามป้อมที่เก็บไว้ในตู้เย็น ถ้าเก็บผลมะขามป้อมผลแห้งไว้ในตู้เย็นนาน 1 ปี จะเสียวิตามินซีไปเพียง 20% เท่านั้น ปกติในบ้านเราจะพบเห็นผลมะขามป้อมที่มีขนาดของผลเล็ก แต่ถ้าผลที่ใหญ่ที่สุด จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3.5 เซนติเมตร พ.อ.อ.กิติ ชุ่มสกุล ได้มะขามป้อมจากประเทศอินเดียมาปลูกและให้ผลผลิตแล้วพบว่า มีขนาดผลใหญ่มาก มีเส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 4.5-5.5 เซนติเมตร หรือประมาณ 2 นิ้วเศษ ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน เมื่อผลแก่สีของผิวจะเปลี่ยนเป็นสีเขียวอมเหลือง เนื้อมีสีขาวนวลคล้ายน้ำนม แต่ละผลจะมีกลีบแบ่งเป็นช่วงๆ 6 กลีบ เมื่อนำผลแก่มารับประทานสดจะมีรสฝาด อมเปรี้ยว และติดขมเล็กน้อย แต่เมื่ออมไว้สักครู่จะหวานชุ่มคอ เมื่อดื่มน้ำตามลงไปจะยังหวานชุ่มคอเป็นเวลานาน แก้ไอและแก้กระหายน้ำได้ดีมาก



มะละกอแขกดำ "เรด แคลิเบียน"

มะละกอ แขกดำ "เรด แคลิเบียน" เป็นมะละกอสายพันธุ์ใหม่ที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้ผลมะละกอมา จากอเมริกากลางและนำเมล็ดมาปลูก และคัดเลือกพันธุ์แบบผสมเปิดนานกว่า 7 ปี ได้ผลผลิตที่มีขนาดผลคล้ายกับมะละกอเรดมาราดอล์ แต่มีขนาดของผลใหญ่กว่ามาก น้ำหนักผลเฉลี่ย 2-3 กิโลกรัม (ผลใหญ่กว่าเรดมาราดอล์ 1-2 เท่า) เนื้อหนามาก มีสีแดงส้มและรสชาติหวาน จากการปลูกทดสอบในแปลงพบว่า มีความทนทานต่อโรคไวรัสจุดวงแหวนได้ดีกว่าพันธุ์แขกดำศรีสะเกษ เป็นมะละกอที่สามารถบริโภคได้ทั้งผลดิบและผลสุก โดยเฉพาะผลดิบเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพื่อทำส้มตำ ส่วนผลสุกใช้บริโภคสด

โดย ปกติแล้วมะละกอสามารถขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่ร่วนซุย มีการระบายน้ำที่ดี เช่น ดินร่วนปนทราย ถ้าพื้นที่เป็นดินเหนียวหรือดินทรายจัด เราควรปรับปรุงดินก่อนโดยการใส่อินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดี การระบายน้ำของแปลงปลูกมะละกอจะต้องดี เพราะต้นมะละกอเป็นพืชที่ไม่ทนต่อสภาพน้ำขังแฉะ โดยเฉพาะถ้าต้นมะละกอยังเล็ก ถ้ามีน้ำขังมากๆ ต้นมะละกออาจจะชะงักการเจริญเติบโตและอาจถึงตายได้



ชมพู่ยักษ์ไต้หวัน

ใน อดีตชมพู่ทับทิมจันท์ ซึ่งเป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย มีชื่อพันธุ์ว่า "ซิต้า" มาปลูกในประเทศไทยจนประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับทั้งตลาดภายในและต่าง ประเทศ ปัจจุบันมีการขยายพื้นที่ปลูกกันทั่วประเทศและยังเป็นพันธุ์ที่นิยมมากที่ สุดสายพันธุ์หนึ่ง เนื่องจากเป็นชมพู่ที่มีรสชาติอร่อยมาก เนื้อหวาน กรอบ และผิวมีสีแดงเข้ม ในขณะที่ไต้หวันเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีการพัฒนาสายพันธุ์ชมพู่ และชมพู่จัดเป็นผลไม้ที่มีราคาแพงมากในไต้หวัน มีการบรรจุหีบห่อที่สวยงาม ทางชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตร ได้ไปดูงานการเกษตรที่ไต้หวันและได้ชมพู่สายพันธุ์ใหม่ของไต้หวันมาทดลอง ปลูกในบ้านเรา ดูจากลักษณะสายพันธุ์แล้วเป็นชมพู่ที่มีขนาดของผลใหญ่มาก มีน้ำหนักผลเฉลี่ย 500-800 กรัม รสชาติหวาน กรอบ สำหรับระยะปลูกชมพู่แนะนำให้ใช้ระยะระหว่างต้น 5 เมตร ระยะระหว่างแถว 6 เมตร พื้นที่ 1 ไร่ ปลูกได้ 50 ต้น เคล็ดลับที่สำคัญที่จะทำให้ชมพู่มีคุณภาพดีและรสชาติอร่อย ก่อนที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิต 15 วัน จะต้องใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อเพิ่มความหวาน เช่น สูตร 8-24-24 อัตราต้นละ 500 กรัม ต่อต้น (ต้นชมพู่ อายุ 2-3 ปี) แต่ถ้าต้นชมพู่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ให้ใส่ต้นละ 1 กิโลกรัม ทางใบให้ฉีดพ่นปุ๋ยทางใบที่มีโพแทสเซียมสูง



ฝรั่งพันธุ์ "ฮ่องเต้"

เมื่อ ประมาณปี พ.ศ. 2513 ทางไต้หวันได้มีการนำฝรั่งจากประเทศไทย ซึ่งมีขนาดผลใหญ่ เนื้อแน่น และกรอบ ไปปลูกได้ผลผลิตเป็นที่ชื่นชอบของคนไต้หวันในขณะนั้น เวลาผ่านไปไต้หวันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ฝรั่งเรื่อยมา โดยเน้นความกรอบอร่อยของเนื้อ มีเมล็ดน้อย และนิ่ม ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีเกษตรกรไทยนำพันธุ์ฝรั่งจากไต้หวันมา ปลูกจนประสบผลสำเร็จในบ้านเรา และที่รู้จักกันดีคือ พันธุ์เจินจู ซึ่งมีเมล็ดนิ่มและรสชาติอร่อย เริ่มมีเกษตรกรไทยขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้นในขณะนี้

นอกจากฝรั่ง พันธุ์เจินจู ที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ปัจจุบันได้มีฝรั่งไต้หวันอีกสายพันธุ์หนึ่งที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการ เกษตร จังหวัดพิจิตร ได้กิ่งพันธุ์จากไต้หวันมาปลูกที่จังหวัดพิจิตร เป็นกิ่งประเภทเสียงยอด มีรากแก้วจำนวน 2 ต้น (การขยายพันธุ์ฝรั่งในบ้านเราเกือบทั้งหมดจะใช้วิธีการตอนกิ่ง) และมีชื่อพันธุ์ว่า "ฮ่องเต้" เริ่มปลูกต้นฝรั่งทั้งสองตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 มาจนถึงขณะนี้เริ่มเห็นผลผลิตแล้ว ซึ่งได้พบความแตกต่างจากฝรั่งไต้หวันสายพันธุ์อื่นๆ ที่ปลูกในบ้านเรา ตรงที่รูปทรงผลจะเป็นทรงกระบอกสี่เหลี่ยม เมื่อผลเจริญเติบโตเต็มที่มีน้ำหนักผลไม่ต่ำกว่า 500 กรัม เนื้อมีรสชาติหวานกรอบ เมล็ดน้อยมากและนิ่ม ที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่ออกดอกและติดผลง่าย ให้ผลผลิตดี ที่ไต้หวันไม่ว่าจะเป็นสวนเล็กหรือสวนใหญ่จะมีความประณีตในการห่อผลฝรั่งมาก เริ่มแรกจากการปลิดผลทิ้งบ้างให้เหลือกิ่งละไม่กี่ผล เมื่อผลมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับส้มเขียวหวานจะใช้ตาข่ายโฟมห่อที่ผลก่อนเป็น ลำดับแรกและห่อตามด้วยถุงพลาสติคบางใสและเหนียว สังเกตได้ว่าถุงพลาสติคที่เกษตรกรไต้หวันใช้จะบางมาก และสามารถมองทะลุเห็นผลภายในอย่างชัดเจน เพื่อสะดวกต่อการเก็บเกี่ยว

ที่มา http://info.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=05017150154&srcday=2011-01-15&search=no

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ขอบเขตของการติดตาต่อกิ่ง (limits of grafting)


ขอบเขตของการติดตาต่อกิ่ง หมายถึงว่าการติดตาต่อกิ่งจะทำกับต้นพืชอะไรได้บ้าง หรือจะเอาต้นพืชใดมาติดตาหรือต่อกิ่งกับพืชใดได้บ้าง
ในการที่จะนำพืชใดมาติดตาหรือต่อกิ่งกันได้นั้น ก่อนอื่นจะต้องพิจารณาลักษณะการจัดเรียงของเนื้อเยื่อโดยเฉพาะเยื่อเจริญ ซึ่งเป็นตัวการสำคัญในการสร้างเนื้อเยื่อของต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีให้เชื่อม ต่อกัน พืชที่จะนำมาติดหรือต่อกันนั้นจะต้องมีเยื่อเจริญที่เจริญติดต่อกันได้ตลอด (vascular cambium) เมื่อเป็นเช่นนี้การติดตาหรือต่อกิ่งจึงจำกัดอยู่เฉพาะพืชใบเลี้ยงคู่และพืช จำพวกสนเท่านั้น เพราะมีเยื่อเจริญที่เจริญติดต่อกันอยู่ระหว่างเปลือกและเนื้อไม้ ส่วนพืชจำพวกใบเลี้ยงเดี่ยวไม่สามารถที่จะติดตาต่อกิ่งกันได้ เพราะแนวเยื่อเจริญไม่เจริญติดต่อกัน แต่จะอยู่กระจัดกระจายทั่วต้น ทั้งบริเวณที่ติดกับเปลือก และบริเวณที่เป็นเนื้อไม้หรือไส้
อย่างไรก็ตาม ในพืชพวกใบเลี้ยงคู่หรือพืชจำพวกสนด้วยกันก็มิใช่ว่าจะติดกันได้หมดทุกต้น ทุกพันธุ์หรือทุกชนิด ทั้งนี้จะต้องสังเกตความใกล้ชิดคือ รูปร่าง หน้าตา และนิสัยการเจริญที่ใกล้เคียงกันหรือเหมือนกัน นั่นก็คือต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีจะต้องมีรูปร่างหน้าตา ตลอดจนนิสัยการเจริญคล้ายกัน จึงจะสามารถติดหรือต่อกันได้
แต่เนื่องจากการสังเกตลักษณะตลอดจนนิสัยการเจริญเติบโตนี้ อาจจะมีความเห็นไม่ตรงกันโดยเฉพาะพืชที่ปลูกต่างแหล่งกัน ดังนั้นเพื่อความสะดวกจึงได้ยึดถือหลักเกณฑ์ในการจัดหมวดหมู่ของพืชในทาง พฤกษศาสตร์เป็นหลักในการพิจารณา ความใกล้ชิด คือ ถ้าพืชใด เป็นต้น (clone) เดียวกันฃ พันธุ์เดียวกัน ชนิดเดียวกัน สกุลเดียวกันหรือตระกเดียวกันก็จะมีความใกล้ชิดทางเครือญาติที่ใกล้กันตาม ลำดับ ซึ่งในการติดตาต่อกิ่งนิยมถือหลักการดังนี้
๑. ถ้าต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีนั้นเป็นต้นเดียวกัน เช่น นำกิ่งที่ยอดมาติดตาหรือต่อกิ่งที่โคนต้น (same plant and same clone) หรืออยู่คนละต้นกันแต่อยู่ในต้นเดียวกัน (different plant and same clone) เช่น เอากิ่งมะม่วงอกร่องจากต้นหลังบ้านไป ติดบนต้นมะม่วงอกร่องที่ปลูกอยู่หน้าบ้านเช่นนี้ ถือว่าจะสามารถติดต่อกันได้แน่นอน
๒. ถ้าต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีนั้นต่างพันธุ์กัน (different varieties) แต่อยู่ในชนิดเดียวกัน (same species) เช่นนี้ โดยทั่วไปแล้วถือว่า จะติดกันได้ง่ายเช่น มะม่วงอกร่อง ติดบนต้นมะม่วงแก้ว ซึ่งต่างพันธุ์กัน แต่อยู่ในชนิดของมะม่วงด้วยกันคือ Man- gifera indica เช่นนี้ย่อมติดกันได้ง่าย เพราะยัง อยู่ในเครือญาติที่ใกล้ชิดกัน
๓. ถ้าต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีนั้น ต่างชนิดกัน (different species) แต่อยู่ในสกุลเดียวกัน (same genus) ดังเช่นเอาส้มเขียวหวาน (Citrus reticulata) ติดบนต้นตอส้มโอ (Citrus grandis)(Mussaenda hybrida Lus Mczayzay) ติดบนต้นตอดอนย่าสีขาว (Mussaenda phillipica) ซึ่งต้นพืชอาจจะเจริญต่อไปได้ แต่จะติดกันเฉพาะเปลือกเท่านั้น เนื้อไม้จะไม่ เชื่อมตัวกัน ซึ่งถือว่าติดหรือต่อกันไม่ได้ แม้ว่าดอนย่าสีชมพูจะเป็นลูกผสมของดอนย่าสีขาวก็ตามทั้งนี้เพราะอยู่ในเครือ ญาติที่เริ่มจะห่างไกลกัน
๔. ถ้าต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีอยู่ต่างสกุลกัน (different genus) แต่อยู่ในตระกูลเดียวกัน (same family) เช่น เอามะม่วงซึ่งอยู่ในสกุล Mangifera ไปติดหรือต่อกับมะปรางซึ่งอยู่ในสกุล Bocea หรือ มะม่วงหิมพานต์ ซึ่งอยู่ในสกุล Anacarduim แม้ ทั้งหมดนี้อยู่ในตระกูล Anacardiaceae ด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะติดกันไม่ได้ กระนั้นก็ยังมีพืชบางชนิดในพวกส้ม ซึ่งอาจติดได้แต่เป็นส่วนน้อย เช่น เอาส้มเขียวหวานซึ่งอยู่ในสกุล Citrus ไปติดหรือต่อกับส้มสามใบ ซึ่งอยู่ในสกุล Poncirus และอยู่ในตระกูลRutaceae ด้วยกัน
๕. ถ้าต้นตอและกิ่งพันธุ์ดีอยู่ต่างตระกูล (different family) กัน เช่น จะเอามะม่วงซึ่งอยู่ใน ตระกูล Anacardiaceae ไปติดหรือต่อกับส้ม ซึ่งอยู่ในตระกูล Rutaceae เช่นนี้ ไม่สามารถจะทำได้เลยในทำนองเดียวกันก็ไม่สามารถจะเอามะยมไปติดกับมะดัน เพราะมีรสเปรี้ยวเหมือนกัน หรือเอากุหลาบไปติดบนส้มเพราะมีหนามเหมือนกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การติดตาต่อกิ่งที่ถือหลักตามความใกล้ชิดในทางพฤกษศาสตร์ อาจจะผิดเพี้ยนหรือไม่ตรงตามนี้เสมอไป ทั้งนี้เพราะการติดตาต่อกิ่งนั้นพิจารณาต้นพืชทางโครงสร้าง (anatomy) ส่วนการจัดหมวดหมู่ของพืชนั้นพิจารณาเกี่ยวกับลักษณะของเครื่องเพศ (morphology) เป็นเกณฑ์

ที่มา guru.sanook.com
เช่นนี้ส่วนใหญ่ จะติดหรือต่อกันได้ดี แต่ก็อาจมีพืชบางชนิดที่ติดกันไม่ได้บ้าง เช่น เอาต้นดอนย่าสีชมพู

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปริมาณน้ำตาลในผลไม้

ไทยเป็นประเทศในเขตมรสุม จึงอุดมไปด้วยพืชผัก ผลไม้ ผลไม้ไทยส่วนใหญ่มีรสหวาน ดังนั้นคุณค่าที่นอกเหนือจาก วิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารที่มีอยู่ในผลไม้ น้ำตาลเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เพิ่มรสชาติ และราคาให้แก่ผลไม้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องระวังของผู้เป็นโรคเบาหวานมิให้ได้น้ำตาลมาก เนื่องจากน้ำตาลกลูโคส ต้องใช้อินซูลินนำเข้าสู่เซลล์ ผลไม้มิได้มีแต่กลูโคส หรือ ซูโครส ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนให้เป็นกลูโคสได้ ในเวลาที่รวดเร็ว แต่ยังมีฟรุ๊กโตสที่มีความหวานและเข้าสู่เซลล์ให้พลังงานแก่ร่างกาย ได้โดยไม่ต้องใช้อินซูลิน แต่ข้อมูลของชนิด และปริมาณน้ำตาลในผลไม้มีอยู่น้อย ห้องปฏิบัติการกองโภชนาการจึงทำการศึกษา และ เผยแพร่โดยหวังว่าจะเป็นประโยชน์ ต่อผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง ในการเลือกรับประทานผลไม้เพื่อสุขภาพของตนเอง และผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก มิให้ได้รับน้ำตาลจากผลไม้มากเกินความต้องการ จนถูกนำไปเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย

ผลไม้ที่นำมาวิเคราะห์ชนิด และปริมาณน้ำตาลตามตารางข้างล่างนี้ มีความสุกพอเหมาะในการรับประทาน ดังนั้น ผลไม้ที่สุกมากขึ้นแป้งย่อมถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตาลมากขึ้นด้วย

ชนิดและปริมาณน้ำตาลในผลไม้

เลขที่

ชื่อผลไม้

ปริมาณส่วนที่รับประทานได้

ปริมาณน้ำตาล , ก.

ปริมาณ

น้ำหนัก, ก.

ทั้งหมด

ฟรุ๊กโตส

กลูโคส

ซูโครส

1

ขนุน

1 ยวง

40

8.58

1.75

1.73

5.10

2

เงาะโรงเรียน

4 ผล

70

12.51

1.75

1.77

8.99

3

ชมพู่เพชร

1 ผล

100

7.95

4.05

3.90

4

แตงโมกินรี

10 ชิ้นคำ

140

11.20

5.46

2.30

3.44

5

ทุเรียน, หมอนทอง

1/2 เม็ด

40

8.52

0.38

0.40

7.74

6

มะขามหวาน

1 ฝัก

13

7.57

4.25

3.32

7

มะปราง

8 ผล

85

10.47

2.16

1.77

6.54

8

มะปรางหวาน

8 ผล

73

12.28

1.65

0.91

9.72

9

มะม่วงเขียวเสวย, สุก

1/4 ผล

60

11.30

1.15

0.62

9.53

10

มะม่วงน้ำดอกไม้

1/4 ผล

80

12.26

3.05

0.39

8.82

11

มะม่วงอกร่อง

1 ผล

100

13.45

5.46

0.49

7.50

12

มะละกอ แขกดำ

6 ชิ้นคำ

72

7.08

3.34

3.74

13

มังคุด

3 ผล

50

8.69

0.71

0.74

7.24

14

ลองกอง

6 ผล

100

16.02

7.40

7.09

1.53

15

ละมุดมาเลย์

1 ผล

60

9.37

3.33

2.99

3.05

16

ลำไย, กะโหลก

8 ผล

60

10.66

2.20

2.53

5.93

17

ลิ้นจี่, พันธุ์ค่อม

4 ผล

40

7.34

3.65

3.69

18

ส้มเขียวหวานบางมด

1 ผล

90

10.21

2.17

1.83

6.20

19

สับปะรด, ภูเก็ต

6 ชิ้นคำ

70

10.18

2.10

2.01

6.07

20

สับปะรด, ศรีราชา

6 ชิ้นคำ

70

8.82

2.47

2.31

4.04

21

องุ่นเขียว

8 ผล

50

6.29

2.94

3.35

แหล่งที่มา : ดร. พิมพร วัชรางค์กุล กองโภชนาการ

ข้อมูลอ้างอิง :
http://www.michi.co.th
http://www.doae.go.th
http://www.kasetporpeang.com/holland_papaya.htm