1.ลองกองทั่วไป
ลักษณะเด่นของผลที่พบได้แก่ผลค่อนข้างกลม ขนาดของผลค่อนข้างสม่ำเสมอกันทั้งช่อ ขนาดของผลโดยเฉลี่ย กว้าง 2.88 ซ.ม. และยาว 3.26 ซ.ม. เปลือกผลมีสีเหลืองอ่อนถึงสีน้ำตาล มีรอยด่างสีดำคล้ายเขม่าจับอยู่เกือบทั่วผล มีจุดสีน้ำตาลประปราย เปลือกผลหนาประมาณ 1 ม.ม. ลักษณะของผลในช่อค่อนข้างแน่น มีน้ำยางขาวขุ่น (ผลค่อนข้างสด) จำนวนเมล็ดขนาดใหญ่ 1-0 เมล็ดต่อผล มักพบเมล็ดลีบ 1-2 เมล็ดต่อผล ถ้าผลไหนมี 4 กลีบจะพบเมล็ดทั้ง 4 กลีบ (ใหญ่ 3 เล็ก 1) ถ้าปอกหรือบีบผลตามแนวยาวจะไม่พบน้ำยางขาวขุ่นเลย ผลมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว(ผลค่อนข้างสด)
![]() |
ลักษณะผลของลองกองทั่วไป
2.ลองกองแกแลแมร์ (ลองกองแปรแมร์)
ลักษณะเด่นของผลที่พบได้แก่ ผลมีลักษณะค่อนข้างกลมถึงกลม ขนาดของผลโดยเฉลี่ยกว้าง 3.14 ซ.ม.ยาว 3.30 ซ.ม.ผิวเปลือกมีสีเหลืองอ่อน มีจุดสีน้ำตาลประปราย ขนาดของผลในช่อค่อนข้างสม่ำเสมอ ขนาดของผลปลายช่อจะมีขนาดเล็กกว่าส่วนอื่นๆ ผลมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เมื่อผ่า เมื่อผ่าตามขวางพบปริมาณน้ำยางขาวขุ่นค่อนข้างมาก แต่ถ้าแกะเปลือกผลตามยาวจะไม่พบน้ำยาง ผลค่อนข้างแห้ง ไม่ฉ่ำน้ำเนื้อผลมีรสหวานสนิท![]() |
ลักษณะผลของลองกองแกแลแมร์
3.ลองกองคันธุลี
ลักษณะเด่นของผลที่พบได้แก่ ขนาดของช่อค่อนข้างใหญ่ ขนาดของผลโดยเฉลี่ย กว้าง 3.30 ซ.ม. และยาว 3.59 ซ.ม.ผลมีน้ำหนักมาก ผลแน่นเต็มช่อ ลักษณะของผลค่อนข้างกลม มีจุดสีน้ำตาลประปรายเห็นได้ชัดเจน สีของเปลือกผลค่อนข้างเหลืองถึงสีน้ำตาลอ่อน มีรอยด่างคล้ายคราบเขม่ากระจายอยู่ทั่วทั้งผล พบเมล็ดทั้งใหญ่และลีบในผลเดียวกัน ผลมีรสหวานสนิท![]() |
ลักษณะผลของลองกองคันธุลี
4.ลองกองธารโต
ลักษณะเด่นของผลที่พบได้แก่ ผลค่อนข้างกลม ขนาดของผลค่อนข้างสม่ำเสมอกันทั้งช่อ ขนาดของผลโดยเฉลี่ยกว้าง 3.01 ซ.ม. และ ยาว 3.14 ซ.ม. เปลือกผลมีสีเหลืองนวล ผิวค่อนข้างเกลี้ยง มีจุดประสีน้ำตาลเล็กน้อยบริเวณปลายผลขั้วผลติดช่อค่อนข้างแน่น จำนวนเมล็ดต่อผลน้อย พบเมล็ดลีบบ้างเนื้อผลแห้ง มีรสชาติหวานเปลือกหนา และสามารถแกะเปลือกได้ง่าย![]() |
ลักษณะผลของลองกองธารโต
5.ลองกองไม้
ลักษณะเด่นของผลที่พบได้แก่ ลักษณะของผลค่อนข้างกลม พบทรงรีบ้าง ขนาดของผลโดยเฉลี่ยกว้าง 3.25 ซ.ม.และยาว 3.47 ซ.ม. เปลือกผลมีสีเหลืองถึงสีน้ำตาลอ่อน มีจุดสีน้ำตาลประปราย แต่ค่อนข้างน้อย ผิวผลเรียบ จำนวนผลต่อช่อไม่มากนัก ช่อดอกมีขนาดสั้น ถ้าผลไหนไม่พบเมล็ดใหญ่ จะพบเมล็ดลีบแทน เมล็ดลีบมีสีน้ำตาล เปลือกผลค่อนข้างบางน้อยกว่า 1 ม.ม.![]() |
ลักษณะผลของลองกองไม้
6.ลองกองเปลือกบาง
ลักษณะเด่นของผลที่พบได้แก่ ลักษณะผลค่อนข้างกลม มีบ้างที่คล้ายรูปหยดน้ำ ขนาดของผลโดยเฉลี่ย กว้าง 3.19 ซ.ม.และยาว 3.56 ซ.ม. เปลือกผลมีสีเหลืองถึงสีน้ำตาลอ่อน มีจุดสีน้ำตาลประปรายค่อนข้างมาก ที่บริเวณเปลือกผลมีคราบคล้ายเขม่าสีดำติดอยู่ ความหนาของเปลือกแทบจะไม่แตกต่างจากลองกองปกติ สามารถปอกเปลือกผลได้ง่าย ผลแห้งไม่ฉ่ำน้ำมีรสชาติหวานสนิท![]() |
ลักษณะผลของลองกองเปลือกบาง
7.ลองกองกาญจนดิษฐ์
ลักษณะเด่นของผลที่พบได้แก่ ลักษณะของผลกลมรี ขนาดของผลโดยเฉลี่ย กว้าง 3.04 ซ.ม. และยาว 3.42 ซ.ม.ขนาดของช่อค่อนข้างสั้น เปลือกผลมีสีเหลืองนวลถึงสีน้ำตาล มีจุดสีน้ำตาลประปรายทั่วผลเปลือกไม่หนามากและผลมีรสชาติเปรี้ยวอมหวาน![]() |
ลักษณะผลของลองกองกาญจนดิษฐ์
การขยายพันธุ์ลองกอง
เพื่อจุดมุ่งหมายให้ได้ต้นพันธุ์ดี พันธุ์แท้สามารถทำได้หลายวิธีทั้งเพาะเมล็ด ทาบกิ่ง ต่อกิ่ง(เสียบยอดและเสียบข้าง)และติดตา
1. การเพาะเมล็ด ทำได้โดยคัดเลือกเมล็ดลองกองพันธุ์แท้มาปลูกโดยมั่นใจว่าไม่มีเมล็ดพันธุ์อื่น เช่น ลางสาด ดูกูมาปะปนโดยที่ผลลองกอง 100 ผล หนักประมาณ 2 กก. จะมีเมล็ดสมบูรณ์เพียงประมาณ 10-12 เมล็ดเท่านั้น ล้างเมล็ดให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้งแล้วนำไปเพาะทันที ในขี้เถ้าแกลบผสมทราบ ในอัตรา 1:1 โดยฝังเมล็ดในวัสดุ เพาะลึกประมาณครึ่งเซนติเมตรแล้วเกลี่ยกลบด้วยวัสดุเพาะ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เมล็ดก็จะเริ่มงอกหลังจากเพาะประมาณ15-45วัน เมล็ด1เมล็ดจะงอกได้ต้นกล้าประมาณ1-3ต้นจากนั้นเมื่อใบคู่แรกแก่เต็มที่จึงย้ายไปปลูกในถุงเพาะชำต่อไป
2. การทาบกิ่ง ต่อกิ่งและติดตา โดยใช้ต้นตอที่เพาะเมล็ดจากดูกูหรือลางสาด ตามวิธีเดียวกับเพาะเมล็ดลองกองที่กล่าวแล้วข้างต้น จะประสบความสำเร็จมากกว่าการถอนต้นกล้าจากใต้ต้นมาทำเป็นต้นตอ ซึ่งต้นตอที่เหมาะสมควรจะมีอายุิประมาณ7-10 เดือนส่วนต้นแม่พันธุ์ควรเป็นต้นพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตแล้ว และควรทำการขยายพันธุ์ในฤดูฝน เพราะต้นตอและต้นแม่พันธุ์อยู่ในระยะการเจริญเติบโตมีความสมบูรณ์สูง รวมทั้งเป็นระยะที่ความชื้นในอากาศสูงซึ่งจะช่วยให้เนื้อเยื่อบริเวณรอยต่อประสานกันได้อย่างสมบูรณ์
1. การเพาะเมล็ด ทำได้โดยคัดเลือกเมล็ดลองกองพันธุ์แท้มาปลูกโดยมั่นใจว่าไม่มีเมล็ดพันธุ์อื่น เช่น ลางสาด ดูกูมาปะปนโดยที่ผลลองกอง 100 ผล หนักประมาณ 2 กก. จะมีเมล็ดสมบูรณ์เพียงประมาณ 10-12 เมล็ดเท่านั้น ล้างเมล็ดให้สะอาด ผึ่งลมให้แห้งแล้วนำไปเพาะทันที ในขี้เถ้าแกลบผสมทราบ ในอัตรา 1:1 โดยฝังเมล็ดในวัสดุ เพาะลึกประมาณครึ่งเซนติเมตรแล้วเกลี่ยกลบด้วยวัสดุเพาะ ดูแลรดน้ำให้ชุ่มชื้นอยู่เสมอ เมล็ดก็จะเริ่มงอกหลังจากเพาะประมาณ15-45วัน เมล็ด1เมล็ดจะงอกได้ต้นกล้าประมาณ1-3ต้นจากนั้นเมื่อใบคู่แรกแก่เต็มที่จึงย้ายไปปลูกในถุงเพาะชำต่อไป
2. การทาบกิ่ง ต่อกิ่งและติดตา โดยใช้ต้นตอที่เพาะเมล็ดจากดูกูหรือลางสาด ตามวิธีเดียวกับเพาะเมล็ดลองกองที่กล่าวแล้วข้างต้น จะประสบความสำเร็จมากกว่าการถอนต้นกล้าจากใต้ต้นมาทำเป็นต้นตอ ซึ่งต้นตอที่เหมาะสมควรจะมีอายุิประมาณ7-10 เดือนส่วนต้นแม่พันธุ์ควรเป็นต้นพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตแล้ว และควรทำการขยายพันธุ์ในฤดูฝน เพราะต้นตอและต้นแม่พันธุ์อยู่ในระยะการเจริญเติบโตมีความสมบูรณ์สูง รวมทั้งเป็นระยะที่ความชื้นในอากาศสูงซึ่งจะช่วยให้เนื้อเยื่อบริเวณรอยต่อประสานกันได้อย่างสมบูรณ์
การทาบกิ่ง วิธีทาบกิ่งที่ให้ผลดี คือ การทาบกิ่งแบบปาด ดัดแปลง หรือฝานบวบแปลง
การต่อกิ่ง ทำได้ 2 วิธี คือ การเสียบยอด และ เสียบข้าง
การเสียบยอดเป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด ต้นตอที่เหมาะสม สมควรมีขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร กิ่งพันธุ์ที่นำมาใช้จะมีขนาดใหญ่หรือเล็กกว่าต้นตอก็ใช้ได้ โดยใช้เทคนิคจัดแนวเนื้อเยื่อเจริญให้ตรงกันด้านใดด้านหนึ่ง โดยถ้ากิ่งพันธุ์ดีมีขนาดใหญ่กว่าต้นตอ
ให้ใช้ไมไผ่ผ่าซีกมาช่วยค้ำพยุงลำต้นจนกว่ารอยแผลประสานกันสนิท
การเสียบข้าง วิธีนี้เหมาะกับต้นตอที่มีอายุมากกว่า 1 ปี หรือมีขนาดประมาณแท่งดินสอหรือใหญ่กว่า ซึ่งเนื้อไม้จะเริ่มแข็งการ ผ่าต้นตอเพื่อเสียบยอดทำได้ยากและรอยแผลช้ำ สำหรับวิธีนี้ถ้าทำครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จก็สามารถนำต้นตอกลับมาใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง
การติดตาวิธีที่ได้ผลดีคือ การติดตาแบบเพลท ต้นตอที่ใช้มีขนาดใหญ่เหมือนกับที่ใช้ในการเสียบข้าง และจะต้องมีความสมบูรณ์เปลือกร่อนได้ง่าย สำหรับแผ่นตาพันธุ์ดีก็ควรเป็นตาที่สมบูรณ์และมีใบติดที่แผ่นตาด้วย
การเสียบยอดเป็นวิธีที่นิยมกันมากที่สุด ต้นตอที่เหมาะสม สมควรมีขนาดประมาณครึ่งเซนติเมตร กิ่งพันธุ์ที่นำมาใช้จะมีขนาดใหญ่หรือเล็กกว่าต้นตอก็ใช้ได้ โดยใช้เทคนิคจัดแนวเนื้อเยื่อเจริญให้ตรงกันด้านใดด้านหนึ่ง โดยถ้ากิ่งพันธุ์ดีมีขนาดใหญ่กว่าต้นตอ
ให้ใช้ไมไผ่ผ่าซีกมาช่วยค้ำพยุงลำต้นจนกว่ารอยแผลประสานกันสนิท
การเสียบข้าง วิธีนี้เหมาะกับต้นตอที่มีอายุมากกว่า 1 ปี หรือมีขนาดประมาณแท่งดินสอหรือใหญ่กว่า ซึ่งเนื้อไม้จะเริ่มแข็งการ ผ่าต้นตอเพื่อเสียบยอดทำได้ยากและรอยแผลช้ำ สำหรับวิธีนี้ถ้าทำครั้งแรกไม่ประสบความสำเร็จก็สามารถนำต้นตอกลับมาใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง
การติดตาวิธีที่ได้ผลดีคือ การติดตาแบบเพลท ต้นตอที่ใช้มีขนาดใหญ่เหมือนกับที่ใช้ในการเสียบข้าง และจะต้องมีความสมบูรณ์เปลือกร่อนได้ง่าย สำหรับแผ่นตาพันธุ์ดีก็ควรเป็นตาที่สมบูรณ์และมีใบติดที่แผ่นตาด้วย