skip to main |
skip to sidebar
น้ำส้มใส่ยางเป็นกรดทั้งนั้น
ประจุบวกจากน้ำกรดที่ใส่ลงไป จะทำให้อนุภาคของยางที่ลอยตัวอยู่ในน้ำยางจับตัวกันเป็นก้อน
กรดชนิดดีที่ใช้กับน้ำยางก็คือกรดอินทรีย์มีธาตุคาร์บอนเป็นสารประกอบ
ที่นิยมใช้กันมี กรดฟอร์มิค(กรดมด) และกระอะซิติก(กรดน้ำส้ม)
เพราะใช้ง่ายอันตรายน้อย สลายตัวไว
ส่วนกรดอนินทรีย์ ที่นิยมใช้กันมี
กรดซัลฟูริก (วัวแดง) เพราะหาง่าย ราคาถูก ใช้เข้มข้นน้อยกว่ากรดอินทรีย์มาก
จะทำให้ยางเปื่อยถ้าใช้เข้มข้นมาก
และจะทำให้ยางเหลวเป็นไยถ้าล้างออกไม่หมด
กลับมาที่น้ำหมักตามคำถามในกระทู้นี้
น้ำหมักทั่วๆไปจะได้จากการเอาแป้งหรือน้ำตาลมาหมักจนเกิดแอลกอฮอ
แล้ว
แอลกอฮอจะถูกแบคทีเรียย่อยต่อเป็นกรดน้ำส้ม (อาซีติก แอซิด)หรือน้ำส้มสายชู
ทำมาจากน้ำตาลจากก็เรียกว่าน้ำส้มจาก
ทำมาจากน้ำตาลมะพร้าวก็เรียกว่าน้ำส้มมะพร้าว
เมืองนอกทำจากลูกแอปเปิ้ลเขาเรียกว่าน้ำส้มแอปเปิ้ล(บ้านเราแพงมาก)
กรดน้ำส้มที่ได้จากการหมักนี้เอามาใส่ในน้ำยางได้แต่ควรกรองให้สะอาดก่อนใช้
ถ้านำมาทำอาหารก็ควรต้มก่อนด้วย
สรุปได้ว่าน้ำส้มสายชูต้องทำมาจากแอลกอฮอชนิดกินได้(เอ็ททิลแอลกอฮอ)
เอททิลแอลกอฮอทำมาจากแป้งและน้ำตาล(โดยมีตัวยี้สมากิน)
น้ำส้มสายชูที่ทำมาจากแอลกอฮอที่ได้กลั่นมาแล้วคือ น้ำส้มสายชูกลั่น
(คือกลั่นแต่แอลกอฮอ น้ำส้มไม่ได้กลั่น นะจ๊ะ)
สรุปว่า ความฝาดของพืชไม่ช่วยให้เกิดกรดน้ำส้ม
และไม้ฝาดบางตัวเช่นเคี่ยม พยอม จะช่วยยับยั้งการเกิดแอลกอฮอและกรดด้วย
ตอบวกๆวนๆนะ
แต่ก็ตั้งใจตอบละ
ตัวอย่างการทำ น้ำหมักกล้วยใช้แทนน้ำส้มฆ่ายาง ครับ
น้ำหมักกล้วยใช้แทนน้ำส้มฆ่ายาง
ใน
ช่วงที่มีสภาพอากาศที่มีฝนฟ้าตกบ่อยๆ
อาจจะเป็นปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญต่อเกษตรกรที่มีอาชีพทำสวนยางพารา
ซึ่งขายน้ำยางสดและทำขี้ยางขายถ้าหากฝนตกลงในถ้วยรองรับน้ำยางเยอะก็จะทำให้
เกิดความเสียหายกับเกษตรกรได้ คุณจรณะ มุขวัฒน์
เป็นประธานกลุ่มศูนย์เรียนรู้ชมชนบ้านในไร่
ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและทำการเกษตรแบบอินทรีย์ชีวภาพได้บอกสูตรน้ำหมัก
กล้วย ซึ่งใช้ในการทำให้น้ำยางพาราแข็งตัวเร็วยิ่งขึ้นและสามารถใช้แทน“
น้ำส้มฆ่ายาง” (หมายถึง กรดฟอมิค ที่ทำให้ยางแข็งตัว)ได้ดีกว่าด้วย
ให้กับเจ้าหน้าที่ร่วมด้วยช่วยกันสำนึกรักบ้านเกิดได้ทราบโดยมีรายละเอียด
วิธีการทำดังนี้
ส่วนผสม
-กล้วยน้ำหว้า 3 กิโลกรัม
-กากน้ำตาล 1 กิโลกรัม
-น้ำ 10 กิโลกรัม
-ถังหมัก
วิธีทำ
นำ
กล้วยมาหั่นเป็นชิ้นโดยหั่นทั้งเปลือก หมักไว้ 21 วัน ประโยชน์
ใช้สำหรับเป็นน้ำยาฆ่ายางใช้แทนน้ำส้มฆ่ายางที่ใช้ในยางพาราให้น้ำยางแข็ง
ตัว ใช้ในฤดูฝนทำให้น้ำยางแข็งตัวเร็วขึ้น
วิธีใช้
พอกรีดยาง
เสร็จให้หยอดลงไปในถ้วยใส่น้ำยางพอประมาณ
ก็ทำให้น้ำยางมีสีเข้มขึ้นและแข็งตัวเร็ว
และเมื่อน้ำหมักกล้วยตกลงที่พื้นดินก็จะทำให้เพิ่มจุลินทรีย์ในดินได้อีก
ด้วย
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครศรีธรรมราช
อ้างอิงจากลิ้งค์
http://www.rakbankerd.com/agriculture/webboard/webboard_view_topic.html?id=1100
http://www.rakbankerd.com/agriculture/open.php?id=1224&s=tblplant
หลังจากได้เมล็ดมาแล้วคัดเอาเมล็ดที่สมบูรณ์ ล้างเอาเนื้อและเยื้อหุ้มเมล็ดออกให้สะอาด บรรจุใส่ขวดน้ำดื่มขนาด 1 ลิตรขวดละ 200 เมล็ด ใส่น้ำนิดหน่อยพอให้ได้ความชื้นทั่วถึงกัน ปิดฝาให้สนิทเขย่าขวดในแนวนอนเบาๆให้เมล็ดกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วๆขวด นำขวดไปเก็บใว้ในที่ที่มีอากาศ ร้อนและมืด
ประมาณสองสัปดาห์ รากจะเริ่มทยอยแทงออกจากเมล็ด เมื่อรากยาวได้ประมาณหนึ่งนิ้วจึงย้ายลงเลี้ยงต่อในถุงดำ จากนั้นหน่อจะใช้เวลาอีกอย่างน้อยสองสัปดาห์เพื่อแทงยอดจนพ้นหน้าดิน หน่อที่พัฒนาไปเป็นใบจะเกิดออกมาจากบริเวณกึ่งกลางของความยาวของราก ไม่ได้ออกมาจากเมล็ดเหมือนกับพืชชนิดอื่นทั่วๆไป ระยะนี้รักษาความชื้นอย่าให้ดินแห้งเกินไป
กล้าแทงใบเดี่ยวจำนวนหนึ่งใบ ความยาว 8-12 นิ้ว จนมีอายุได้ 2-3 เดือน เมื่อย่างเข้าเดือนที่ 4 กล้าจะแทงใบเดี่ยวใบที่สอง ความยาว 8-12 นิ้ว ระยะนี้สามารถนำกล้าไปปลูกลงแปลงได้ ทั้งนี้ต้องมีผู้ดูแลคอยกำจัดวัชพืชรอบๆต้น ให้น้ำทุกสองถึงสามวันก็เพียงพอต่อความต้องการของกล้าอินทผลัมแล้ว เพราะกล้าในขวบปีแรกจะมีความสูงประมาณสองฟุตเท่านั้น หรืออาจย้ายจากถุงเพาะลงกระถางขนาด 15 นิ้ว เลี้ยงกล้าต่อจนครบหนึ่งปีค่อยนำย้ายปลูกลงแปลงก็ได้
อินทผลัม ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phaenix sp.
ชื่อวงศ์ : Palmae (Arecaceae)
ชื่อสามัญ : Date Palm
การปลูก
1.
ต้นที่ปลูกจะใช้วิธีการแยกหน่อจากต้นใหญ่ (ตัวเมีย)
โดยเลือกต้นแม่ที่มีอายุตั้งแต่ 5 ปี ขึ้นไป หน่อมีขนาดใหญ่ดีกว่าขนาดเล็ก
เมื่อตัดจากต้นแม่แล้วจะมัดรวบใบไว้ก่อน
(ควรใช้หน่อที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้ว ขึ้นไป)
ราคาต้นพันธุ์ประมาณ 15-20 RO ขึ้นอยู่กับพันธุ์ (ประมาณ 1,500-2,000 บาท ;
1 RO = 100 บาท)
2. เมื่อปลูกแล้วประมาณ 3 ปี จะเริ่มให้ผลผลิต 3.
การปลูกจะขุดหลุม ขนาด 0.8 x 0.8 x 0.8 เมตร ปลูกให้หน่ออยู่ลึกลงไปในหลุม
และหน่อจะลึกลงไปในดินประมาณ 30 เซนติเมตร
เพื่อให้สามารถเก็บน้ำไว้สำหรับต้นที่ปลูกใหม่ได้ดี
ระยะปลูกใหม่ยังไม่ให้ปุ๋ย ให้เหลือเพียงแต่น้ำทุก 5 วัน
เมื่อตั้งตัวแล้วประมาณ 1 เดือน จึงจะเริ่มให้ปุ๋ยคอก ต้นละประมาณ 2
กิโลกรัม ในการปลูกระยะแรกจะยังคงมัดรวบใบไว้จนกว่าต้นจะฟื้นและตั้งตัวได้
จึงจะตัดเชือกที่ผูกออก วิธีการนี้จะใช้กับการย้ายต้นใหญ่ๆ
ไปปลูกที่อื่นด้วย จะช่วยให้ต้นรอดตายมาก
การดูแลรักษา
1.
การปรับพื้นดิน ในช่วงหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วทุกปี
(ประมาณเดือนกันยายน)
จะมีการใช้รถไถเดินตามไถพรวนพื้นที่ใต้ต้นซึ่งสภาพดินส่วนใหญ่จะเป็นทราย
เป็นการกำจัดวัชพืชไปในตัว
ขณะเดียวกันก็จะทำเป็นแนวร่องน้ำและคันกั้นน้ำแต่ละต้นไปด้วย
เป็นตารางคล้ายคันนาขนาด กว้าง x ยาว ประมาณ 6 x 6 เมตร
2.
การให้น้ำ น้ำที่ใช้จะถูกส่งมาตามรางคอนกรีต ซึ่งมาจากจุดให้น้ำของหมู่บ้าน
มีเครื่องสูบน้ำมาเก็บไว้ มีหัวหน้าหมู่บ้านเป็นผู้ควบคุมดูแลการจ่ายน้ำ
ซึ่งจะกำหนดจ่ายให้ทุกสวน ทุก 5 วัน และทุก 3 สัปดาห์ ในฤดูหนาว
โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายน้ำ เมื่อไหลเข้ามาตามรางในสวนจะถูกปล่อยไปตามต้นต่างๆ
ตามร่องที่เตรียมไว้
3. การใส่ปุ๋ย
หลังจากเก็บผลแล้วจะมีการใส่ปุ๋ยยูเรีย 1 ครั้ง ต้นละประมาณ 3 กิโลกรัม
หว่านทั่วใต้ต้น และให้ปุ๋ยคอกต้นละประมาณ 30 กิโลกรัม (1 กระสอบ) 1 ครั้ง
ต่อปี หลังจากให้ปุ๋ยยูเรียแล้วประมาณ 10 วัน
4. การตัดแต่งใบ
จะมีการตัดแต่งทางใบ โดยใช้เลื่อยที่มีลักษณะคล้ายเคียว
ผู้ตัดจะปีนขึ้นบนต้นไปตัดทางใบที่แก่แล้วทิ้งไป ต้นละประมาณ 2-3 ทางใบ
ทางใบที่ตัดออกมาจะใช้ในการทำรั้วหรือทำฟืน
ขณะเดียวกันจะตัดหน่อที่แตกออกมาที่กลางต้น หรือใกล้ๆ ยอดออกด้วย
ทำให้ต้นสะอาดเป็นการป้องกันแมลงศัตรูที่อาจมารบกวนได้
และทำให้การป้องกันสัตว์ที่มากัดกินผลได้ง่ายด้วย
5.
การป้องกันกำจัดโรคแมลงและศัตรูอื่นๆ ไม่มีการป้องกันกำจัดโรคแมลง
เนื่องจากไม่มีการระบาดของศัตรูดังกล่าว แต่มีนกหรือหนู
หรือกระรอกมารบกวนกัดกินผล โดยเฉพาะในช่วงที่ผลใกล้แก่
เกษตรกรจะใช้วิธีการยิงด้วยหนังสติ๊ก หรือปืนลม
การออกดอกติดผล
1.
การออกดอก เดือนมกราคมจะเริ่มออกดอก ต้นหนึ่งจะมีช่อดอกประมาณ 5-11 ช่อ
และจะบานประมาณปลายเดือนมกราคมเป็นต้นไป โดยทยอยบานทุกๆ 5 วัน
เกษตรกรจะนำเกสรตัวผู้โดยตัดจากช่อดอกตัวผู้ที่มีอยู่ในสวน
ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมใช้พันธุ์ Khori และ Bahani
(สวนที่ดูงานจะมีต้นตัวผู้อยู่ 4 ต้น ก็เพียงพอสำหรับผสมกับต้นตัวเมีย
ประมาณ 250 ต้น) ดอกตัวผู้สามารถเก็บไว้ใช้ได้โดยนำช่อดอกไปผึ่งแดดให้แห้ง
เก็บใส่ถุงพลาสติกใส่ถังปิดฝาไว้ เก็บไว้ได้นานหลายเดือน
จะผสมเกสรเสร็จประมาณเดือนมีนาคม หลังจากติดผลแล้ว 3 สัปดาห์
ทะลายที่ติดผลจะค่อยๆ
โน้มห้อยลงมาใต้ทางใบทำให้ผลไม่เสียดสีกับหนามเมื่อลมพัด
และสะดวกในการเก็บเกี่ยวด้วย ผลจะเริ่มแก่ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม
บางพันธุ์อาจแก่ก่อนนี้เป็นพันธุ์เบาซึ่งขายได้ราคาดี (เช่น พันธุ์ Battas)
ปกติจะเก็บเกี่ยวมากๆ ในเดือนสิงหาคม ระยะตั้งแต่ติดผลจนถึงผลแก่ประมาณ
180-200 วัน แต่ละทะลายจะมีผลติดดกประมาณ 6-8 กิโลกรัม
2.
การเก็บเกี่ยว เมื่อผลแก่จะมีสีแดง หรือเหลือง แล้วแต่พันธุ์
มีรสชาติมันและหวาน เกษตรกรจะปีนขึ้นไปโดยใช้เชือกที่ถักแบนๆ
โอบรัดไปด้านหลังของเกษตรกรและพันรอบต้น แล้วค่อยๆ
ขยับขึ้นไปโดยใช้เท้าเหยียบไปบนต้นที่มีโคนทางใบที่หลงเหลืออยู่จากการตัด
ทำให้ขึ้นได้ง่ายมาก เมื่อตัดแล้ววางลงบนตะกร้า หย่อนเชือกลงมาด้านล่าง
ผู้ที่อยู่ใต้ต้นจะเป็นผู้เก็บรวบรวมเป็นกอง ปกติต้นหนึ่งๆ
จะให้ผลผลิตประมาณ 100-150 กิโลกรัม (ถ้าดูแลดี
แต่โดยทั่วไปจะได้น้อยกว่านี้)
3. ราคาจำหน่าย
เกษตรจำหน่ายผลอินทผลัมสดในช่วงต้นฤดูกาลประมาณ กิโลกรัมละ 10-15 RO
แต่ในช่วงที่ผลผลิตออกมากจะขายได้ประมาณ 0.25-0.35 RO
ผลแห้งในท้องตลาดจะจำหน่ายปลีกประมาณ กิโลกรัมละ 0.35-1.0 RO
ขึ้นอยู่กับคุณภาพของสินค้า 4. การแปรรูป เกษตรกรจะนำผลไปผึ่งแดด ประมาณ
7-10 วัน จนผลแห้ง (เนื้อที่เป็นแป้งจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั้งผล)
แล้วนำไปล้างน้ำตากแห้งอีกเพียง 1 วัน แล้วบรรจุภาชนะเพื่อจำหน่ายต่อไป
การคัดคุณภาพของผลแห้งจะแยกเป็นชนิดที่แยกเป็นผลเดี่ยวๆ ได้จะมีราคาแพง
ส่วนผลที่ค่อนข้างจะติดกันจะตักขายเป็นก้อน ราคาจะถูกลง
ส่วนชนิดที่เละมากจะนำไปกวนเป็นน้ำหวานสำหรับปรุงอาหาร
สำหรับผลผลิตที่ไม่มีคุณภาพ
เกษตรกรจะนำไปผึ่งแดดเก็บไว้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวัว
ข้อคิดเห็นจากการศึกษาข้อมูลในการปลูกต้นอินทผลัมครั้งนี้ คือ
1.
ต้นอินทผลัมเป็นไม้ผลเมืองร้อนแบบทะเลทราย
ที่มีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศที่แห้งแล้งได้เป็นอย่างดี
แต่ถ้าต้องการผลผลิตที่มีคุณภาพจะต้องมีการดูแลรักษาสวนที่ดีด้วย เช่น
การให้น้ำจะต้องมีอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอและพอเพียง
2.
ผลอินทผลัมสดเมื่อแก่แล้วจะเปลี่ยนเป็นผลอินทผลัมแห้งที่มีคุณภาพตาม
ธรรมชาติ จะต้องอาศัยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้ง
(ซึ่งเป็นสภาพของอากาศโดยทั่วไปของกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง)
หากเป็นประเทศที่มีความร้อนชื้นเหมือนบ้านเราจะทำให้การเปลี่ยนแปลงไม่
สมบูรณ์ จะเกิดเชื้อราขึ้นและเน่าในที่สุด
3.
ต้นอินทผลัมเป็นต้นไม้ที่มีดอกตัวเมียและตัวผู้แยกอยู่คนละต้น
ในการปลูกเพื่อมีการติดผลที่ดีจะต้องปลูกทั้งต้นตัวผู้และต้นตัวเมียไว้ใน
สวนเพื่อประโยชน์ในการผสมเกสร
แต่บางพันธุ์อาจมีการติดผลและมีการพัฒนาของผลได้ดีโดยไม่ต้องมีการผสมเกสร
เช่น Naghal แต่ผลที่ได้เนื้อจะบาง
4.
เมล็ดของผลอินทผลัมที่ได้หลังจากบริโภคเนื้อแล้ว
(โดยการซื้อผลอินทผลัมแห้งจากตลาดทั่วไป)
สามารถนำไปเพาะเป็นต้นเพื่อปลูกได้
โอกาสที่จะได้เป็นต้นตัวผู้และต้นตัวเมียมีอย่างละ 50%
แม้จะได้ต้นตัวเมียไปปลูกแต่คุณภาพก็จะไม่เหมือนกับต้นแม่
(คุณภาพของเนื้ออาจจะไม่ดีเท่ากับที่เราซื้อมา)
เนื่องจากผลอินทผลัมแห้งที่มีจำหน่าย เป็นผลที่ได้จากการผสมเกสรข้ามต้น
จึงถือว่าเมล็ดที่ได้เป็นพันธุ์ลูกผสม
ซึ่งไม่สามารถเรียกชื่อเดียวกับต้นแม่ได้
5.
สำหรับประเทศไทยมีหลายจังหวัดที่มีสภาพภูมิอากาศและสภาพดินที่สามารถปลูกต้น
อินทผลัมได้ดี แต่ในช่วงที่ผลผลิตแก่ (ประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม)
เป็นฤดูฝนจะทำให้เกิดปัญหาผลเน่า ดังนั้น
แนวทางที่จะผลิตเป็นการค้าสำหรับบ้านเรา
คือการคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมจะจำหน่ายผลสด
ลักษณะดังกล่าวควรจะมีผลขนาดโต เนื้อกรอบ รสชาติ มัน หวาน เช่น พันธุ์
Hilali พันธุ์ Khalas เมื่อผลแก่จัดสามารถตัดส่งไปจำหน่ายได้เลย
ปัจจุบันมีผู้บริโภครู้จักการบริโภคผลอินทผลัมสดมากขึ้นทั้งในประเทศและต่าง
ประเทศ เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย
(ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมมีความคุ้นเคยกับการบริโภคผลอินทผลัมสดอยู่
แล้ว) นอกจากนั้น
หากผู้ผลิตที่มีเครื่องอบผลไม้ไม่ว่าจะเป็นเครื่องอบพลังแสงอาทิตย์
หรือตู้ความร้อนจากไฟฟ้า หรือแก๊ส ก็สามารถใช้ผลิตผลอินทผลัมแห้งได้ดี
ผลอินทผลัมแห้งที่ได้จะมีคุณภาพเช่นเดียวกับที่มาจากประเทศกลุ่มอาหรับด้วย
6.
ต้นพันธุ์อินทผลัมที่ดีควรเป็นต้นที่แยกหน่อจากต้นแม่ที่รู้จักชื่อพันธุ์
และมีประวัติการให้ผลผลิตที่ดี
แต่การจะสั่งต้นพันธุ์ดังกล่าวจากประเทศผู้ผลิตเข้ามาปลูกอาจจะยุ่งยาก
ปัจจุบันมีต้นพันธุ์ที่ผลิตด้วยวิธีเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (Tissue culture)
เพื่อการจำหน่ายแล้วในหลายประเทศ เช่น อิสราเอล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
สามารถสั่งซื้อทางอินเตอร์เน็ตได้ การขนส่งทางไปรษณีย์ทำได้สะดวกและรวดเร็ว
จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับเกษตรกรไทยที่จะได้ทดลองผลิตพืชใหม่ที่อาจจะ
เป็นพืชที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจของไทยในอนาคตก็เป็นได้
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ โทร. 0-2940-6116
ที่มา ศูนย์สารสนเทศ ict40@doae.go.th