วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553

การเพิ่มปริมาณน้ำส้มควันไม้สมุนไพร


น้ำส้มควันไม้เป็นการนำเอาภูมิปัญญาชาวบ้านเดิมมาใช้ ตามหลักการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง น้ำส้มควันไม้ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างในด้านการเกษตร ส่วนของพืชและการเลี้ยงสัตว์ แต่ข้อจำกัดของการทำน้ำส้มควันไม้ก็คือการผลิตได้น้อย และหากวัสดุในการเผาเริ่มหายาก ซึ่งคุณพ่อคำป่วน ปราชญ์ผู้เฒ่าแห่งมีเทคนิคง่ายๆ เรื่องนี้มาฝาก




วัสดุ/อุปกรณ์
1.ถังน้ำมันเก่าขนาด 200 ลิตร
2.แกลบดิบ 2 กระสอบปุ๋ย
3.ตะไคร้หอม 5-10 กิโลกรัม
4.ขวดน้ำพลาสติก 2 ขวด
5.ถังพลาสติกสำหรับเก็บเอาน้ำส้มควันไม้


ขั้นตอนและวิธีการผลิตน้ำส้มควันไม้
1.ดัดแปลงถังน้ำมันเก่า 200 ลิตรโดยต่อท่อออกมาด้านนอกความสูงระดับ 90% ของตัวถังเป็นรูปตัวT ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้วโดยด้านบนจะเป็นปล่องควันและด้านล่างเป็นบริเวณที่ให้น้ำส้มควันไม้หยด ออกมา ส่วนฝาปิดถังก็ต่อท่อออกมาเช่นกันความสูงประมาณ 20 เซนติเมตรจากนั้นเจาะรูด้วนสว่านข้างถังทั้ง 3 ด้านเส้นผ่าศูนย์กลาง ¾ นิ้ว(3หุน) สูงจากพื้นด้านล่างประมาณ
2.จุดไฟเผาแกลบและปิดฝาถังโดยปล่อยให้ควันลอยออกมาทางปล่องควันที่ต่อออกมา ประมาณ 1 ชั่วโมง สังเกตลักษณะของควันที่เผาไหม้ว่าอยู่ในระดับที่จะสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำ ส้มควันไม้ได้หรือไม่โดยสังเกตจากช่วงที่ควันมีสีขาวขุ่น อุณหภูมิปากปล่องระหว่าง 80-150 องศาเซลเซียสเป็นช่วงที่ผลผลิตจะมีคุณภาพดีที่สุด
3.ทำการปิดปากปล่องควันด้านบนโดยใช้ขวดพลาสติกบรรจุน้ำเปล่าปิดรูไว้ทั้ง 2 ปล่อง ควันที่ร้อนภายในเมื่อกระทบความเย็นจะเริ่มควบแน่นประมาณ 10 นาที จากนั่นกลั่นตัวออกมาเป็นหยดน้ำไหลออกมาทางด้านล่างของปล่องควันจะได้น้ำส้ม ควันไม้สมุนไพรบริสุทธิ์โดยใช้เวลาเผาไหม้ทั้งหมด 1 วันกับอีก 1 คืน

เทคนิคการเพิ่มปริมาณน้ำส้มควันไม้อยู่ที่ ส่วนของปล้องไม้ไผ่ที่เป็นกระบวกควัน ต้องพันผ้าชุบน้ำให้เย็นที่สุด หากควันร้อนกระทบกับความเย็นด้านนอกจะทำให้ได้ปริมาณน้ำส้มควันไม้เพิ่มขึ้น อีก เท่าตัวเลยทีเดียว

ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/open.php?id=1211&s=tblblog

ทานผักกากใยสูงต้านมะเร็ง



อาหารที่ก่อให้ เกิดโรคในร่างกาย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีไขมันเจือปนอยู่มาก เช่น ข้าวขา หมู ข้าวมันไก่ อาหารทอดต่างๆ หากรับประทานเป็นประจำนอกจากจะทำให้เกิดโรค อ้วนได้แล้ว ยังเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งในร่างกายได้อีกด้วย

เมื่อรู้ว่ามะเร็งเกิดจากการรับประทานอาหาร ก็ควรใช้วิธี “หนามยอกเอาหนาม บ่ง” คือ การเลือกรับประทานอาหารที่จะช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ซึ่งผู้รู้จัก เลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามกลักโภชนาการย่อมสามารถหลีก เลี่ยงมะเร็งได้


แล้วเราควรรับประทานอาหารอย่างไร? หรือ อาหารประเภทไหนบ้าง?ที่จะช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง

คำตอบมีว่า เราควรรับประทานอาหารที่มีเยื่อใยมากๆ อาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่สูงเป็นประจำ ในขณะที่ลดอาหารประเภทที่มีไขมันสูงให้น้อยลง

อาหารที่มีกากใยมากๆ ดีต่อร่างกายอย่างไร?

คำตอบก็คือ กากใยเป็นส่วนที่เหลือจากระบบการย่อยแล้วไม่สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นของเสียที่ต้องถูกขับทิ้งออกจากร่างหาย ซึ่งกากใยอาหารจะถูขับผ่านลำไส้ใหญ่ไปออกทางทวารหนักเป็นอุจจาระ

กากใยอาหารดูดซับน้ำมาก รวมทั้งดูดซับสารก่อมะเร็งตกค้างอยู่ในลำไส้ด้วย กากใยอาหารจะมีน้ำหนักช่วยกระตุ้นระดับขับเคลื่อนของทางเดินอาหารทำให้เกิด การบีบตัวมากขึ้น ช่วยให้การขับถ่ายเป็นอุจจาระสะดวกขึ้นและเร็วขึ้น

แล้วกากใยอาหารได้มาจากไหน?

คำตอบก็คือได้มาจากผักผลไม้ต่างๆ ดังนั้นอาหารทุกมือจึงควรปฏิบัติ 2 ประการคือ ลดอาหารประเภทไขมันให้เหลือน้อยที่สุด เพิ่มผักผลไม้ในอาหารที่รับประทานทุกมื้อ ท่านก็จะได้กากใยที่กระเพราะและลำไส้เล็กย่อยไม่ได้ตกค้างอยู่มาก กลายเป็นของเหลือทิ้งที่ช่วยในการขับถ่ายและดูดซับสารก่อมะเร็งในลำไส้

อาหารอะไร?ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยต้านมะเร็ง

เราสามารรถได้รับวิตามินและเกลือแร่จากผลไม้ต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์
จากการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารพบว่า วิตามินและเกลือแร่จากผลไม้ต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์

จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารพบว่าวิตามินเอ และวิตามินซีสามารถป้องกันมะเร็งได้ นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารยังค้นพบต่อไปว่าวิตามินเอและวิตามินซีนอกจากจะ ป้องกันมะเร็งแล้วยังสามารถรักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย

วิตามินเอและวิตามินซี ช่วยทำให้อายุการทำงานของระบบทำลายสารพิษของร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในเซลล์ต่างๆ เช่น เซลล์ตับ ปอด และ ไต ทำงานได้นานขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสารพิษเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับไปลดอัตราการเกิดมะเร็งของอวัยวะต่างๆ ลงได้

จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่ มักจะเป็นผู้ที่รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอน้อย


** สรุปได้ความว่า การ กินต้านมะเร็ง ก็คือ ต้องรับประทานผัก ผลไม้อย่างเพียงพอและเป็นประจำ

พืชผักที่มีกากใยอาหารมากที่สุด 5 ชนิด คือ ใบย่านาง มะเขือพวง งา ถั่วเหลือง และ ดอกขี้เหล็ก

ผลไม้ 5 ชนิดที่มีวิตามินเอมากที่สุด คือ มะม่วงพิมเสนมัน(สุก) ส้มเขียวหวาน แคนตาลูป มะม่วงสุกทั่วไป และ ลูกพลับแห้ง (ที่มา: พรพรรณ รพี. กินต้านโรค)

ที่มา :
สุราษฎร์ ทองมาก. กินต้านมะเร็ง. นิตยสารไม่ลองไม่รู้เพื่อเกษตรวันนี้.ฉบับประจำเดือนกันยายน .นาคาอินเตอร์มีเดีย.กรุงเทพ.2553.

ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=2036&s=tblplant&g=

น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยเร่งโตบำรุงดิน





การทำน้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วย มีวัตถุดับที่ต้องเตรียมดังนี้
1. ต้นกล้วยสูงไม่เกิน 1 เมตรตัดเอาทั้งส่วนที่เป็นรากจนถึงยอด ประมาณ 30 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 10 กิโลกรัม
3. สารเร่งพด.2 จำนวน 1 ซอง
4. ถังหมัก 1 ถัง

วิธีการทำ
นำต้นกล้วยที่เตรียมไว้มาสับให้ละเอียด ใส่ลงในถังหมัก นำกากน้ำตาลและสารเร่งพด.2 มาละลายน้ำทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นนำใส่ลงไปในถังหมัก คนให้เข้ากันกับต้นกล้วยสับที่ใส่ไว้ หมักไว้ 1 เดือนก็สามารถนำไปใช้ได้
วิธีการนำไปใช้
ผู้ใหญ่สิงห์แก้วนำน้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรนี้มาใช้กับเมล็ดพันธุ์ ข้าว เพื่อเป็นการเร่งการงอกของเมล็ดข้าว โดยใช้ในอัตราส่วน น้ำหมัก 2 ช้อนต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วนำไปแช่เมล็ดพันธุ์ข้าวประมาณ 2 วันหลังจากนั้นนำเมล็ดข้าวที่แช่เรียบร้อยแล้วมาวางไว้บนบกอีก 1 วัน จะสังเกตุได้ว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใช้น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยจะเพิ่ม การงอกเร็วกว่า
**นอกจากนั้นยังนำมาฉีดตอซังข้าวก่อนไถกลบตอซังในอัตราส่วนนำหมัก 1 ลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เสร็จแล้วไถกลบทิ้งไว้ ช่วยเร่งการย่อยสลายของตอซังข้าวและทำให้ดินร่วนซุยดี ใช้เป็นปุ๋ยหมักช่วยลดต้นทุนได้
หลังจากนั้นนำมาใช้อีกครั้งก่อนปลูกข้าว โดยนำมาผสมน้ำราดลงไปในขณะที่ทำการคราดนา ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของต้นข้าวที่กำลังจะนำลงปลูกได้

ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=1074&s=tblrice&g=