วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ไม้ผลแปลกและหายาก ที่น่าปลูกในปี พ.ศ.2554
มะขามป้อมยักษ์อินเดีย จากผลงานวิจัยจากหลายประเทศพบตรงกัน ว่ามะขามป้อมจัดเป็นผลไม้ที่มีปริมาณของสารแทนนินสูงเป็นชนิดที่มีฤทธิ์ ในการต่อต้านอนุมูลอิสระต้านสารก่อมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันที่บกพร่อง กำจัดสารพิษจากโลหะหนักออกจากร่างกายและในผลของมะขามป้อมมีปริมาณวิตามินซี สูงที่สุดชนิดหนึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น วิตามินซีที่พบอยู่ในผลมะขามป้อมมีมากที่สุดในโลกเมื่อเปรียบเทียบกับพืชทุก ชนิด ปกติในบ้านเราจะพบเห็นผลมะขามป้อมที่มีขนาดของผลเล็กแต่ถ้าผลที่ใหญ่ที่สุด จะมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 3.5 เซนติเมตร พ.อ.อ.กิติ ชุ่มสกุล ได้มะขามป้อมจากประเทศอินเดีย มาปลูกและให้ผลผลิตแล้วพบว่ามีขนาดผลใหญ่มากมีเส้นผ่าศูนย์กลางของผลประมาณ 4.5-5.5 เซนติเมตร หรือประมาณ 2 นิ้วเศษ
มะม่วงลูกผสมพันธุ์ “ยู่เหวิน” มีถิ่นกำเนิดที่ไต้หวันและเป็นมะม่วงลูกผสมระหว่างพันธุ์จินหวงกับมะม่วง พันธุ์ “อ้าย เหวิน” มะม่วงลูกผสมสายพันธุ์นี้ได้มีการนำยอดพันธุ์มาเสียบยอดในประเทศไทยประมาณ 4-5 ปีมาแล้วและเริ่มให้ผลผลิตแล้ว ผลปรากฏว่าเป็นมะม่วงที่มีลักษณะเด่นและรสชาติดี คือ มีผลขนาดใหญ่ น้ำหนักผลเฉลี่ย 1-1.5 กิโลกรัม บริโภคได้ทั้งผลดิบและสุก ในระยะผลดิบหรือห่ามจะมีรสชาติหวานมัน (ไม่มีเปรี้ยวปน) ระยะผลสุกเนื้อจะมีรสชาติ หวานหอม, ไม่เละ, ไม่มีเสี้ยนและไม่มีกลิ่นเหม็นขี้ไต้ ที่สำคัญสีของผลมีสีม่วงเข้มดึงดูดใจแก่ผู้พบเห็นจัดเป็นมะม่วงแปลกและหายาก ปลูกและให้ผลผลิตได้ในประเทศไทย มะม่วงพันธุ์ยู่เหวิน เป็นมะม่วงที่ปลูกง่ายและเริ่มให้ผลผลิตเมื่อต้นมีอายุเฉลี่ยได้ 3-4 ปี จากการสังเกตพบว่าออกดอกและติดผลดีทุกปี
มะละกอแขกดำ “เรด แคลิเบียน” มะละกอแขกดำ “เรด แคลิเบียน” เป็นมะละกอสายพันธุ์ใหม่ที่ชมรมเผยแพร่ความรู้ทางการเกษตรได้ผลมะละกอมา จากอเมริกากลางและนำเมล็ดมาปลูกและคัดเลือกพันธุ์แบบผสมเปิดนานกว่า 7 ปี ได้ผลผลิตที่มีขนาดผลคล้ายกับมะละกอเรดมาลาดอล์ แต่มีขนาดของผลใหญ่กว่ามาก น้ำหนักผลเฉลี่ย 2-3 กิโลกรัม (ผลใหญ่กว่าเรดมาลาดอล์ 1-2 เท่า) เนื้อหนามากมีสีแดงส้มและรสชาติหวาน จากการปลูกทดสอบในแปลงพบว่ามีความทนทานต่อโรคไวรัสจุดวงแหวนได้ดีกว่าพันธุ์ แขกดำศรีสะเกษ เป็นมะละกอที่สามารถบริโภคได้ทั้งผลดิบ และผลสุก โดยเฉพาะผลดิบเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคเพื่อทำส้มตำ ส่วนผลสุกใช้บริโภคสด โดยปกติแล้วมะละกอสามารถขึ้นได้ดีในดินเกือบทุกชนิด แต่จะเจริญเติบโตได้ดี ในดินที่ร่วนซุยมีการระบายน้ำที่ดี เช่น ดินร่วนปนทราย ถ้าพื้นที่เป็นดินเหนียวหรือดินทรายจัด เราควรปรับปรุงดินก่อนโดยการใส่อินทรียวัตถุ เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ดี การระบายน้ำของแปลงปลูกมะละกอจะต้องดี เพราะ ต้นมะละกอเป็นพืชที่ไม่ทนต่อสภาพ น้ำขังแฉะโดยเฉพาะถ้าต้นมะละกอยังเล็ก ถ้ามีน้ำขังมาก ๆ ต้นมะละกออาจจะชะงักการเจริญเติบโตและอาจถึงตายได้
ฝรั่งพันธุ์ “ฮ่องเต้” เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2513 ทางไต้หวันได้มีการนำฝรั่งจากประเทศไทยซึ่งมีขนาดผลใหญ่ เนื้อแน่นและกรอบไปปลูกได้ผลผลิตเป็นที่ชื่นชอบของคนไต้หวันในขณะนั้น เวลาผ่านไปไต้หวันได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ฝรั่งเรื่อยมาโดยเน้นความกรอบ อร่อยของเนื้อ, มีเมล็ดน้อยและนิ่ม ในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเริ่มมีเกษตรกรไทยนำพันธุ์ฝรั่งจากไต้หวันมา ปลูกจนประสบผลสำเร็จในบ้านเราและที่รู้จักกันดีคือ พันธุ์เจินจู ซึ่งมีเมล็ดนิ่มและรสชาติอร่อย เริ่มมีเกษตรกรไทยขยายพื้นที่ปลูกกันมากขึ้นในขณะนี้ นอกจาก ฝรั่งพันธุ์เจินจู ที่ได้กล่าวมาแล้วในข้างต้น ปัจจุบันได้มีฝรั่งไต้หวันอีกสายพันธุ์หนึ่งมีชื่อพันธุ์ว่า “ฮ่องเต้” ขณะนี้เริ่มเห็นผลผลิตแล้วซึ่งได้พบความแตกต่างจากฝรั่งไต้หวันสายพันธุ์ อื่น ๆ ที่ปลูกในบ้านเรา ตรงที่รูปทรงผลจะเป็นทรงกระบอกสี่เหลี่ยม เมื่อผลเจริญเติบโตเต็มที่มีน้ำหนักผลไม่ต่ำกว่า 500 กรัม เนื้อมีรสชาติหวานกรอบ, เมล็ดน้อยมากและนิ่ม ที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่ออกดอกและติดผลง่ายให้ผลผลิตดี ที่ไต้หวันไม่ว่าจะเป็นสวนเล็กหรือสวนใหญ่จะมีความประณีตในการห่อผลฝรั่งมาก เริ่มแรกจากการปลิดผลทิ้งบ้างให้เหลือกิ่งละไม่กี่ผลเมื่อผลมีขนาดใหญ่ใกล้ เคียงกับส้มเขียวหวานจะใช้ตาข่ายโฟมห่อที่ผลก่อนเป็นลำดับแรกและห่อตามด้วย ถุงพลาสติกบางใสและเหนียว
ที่มา :
หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=28155.0
วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553
ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=1516&s=tblanimal
ฤาข้าวหอมอีสาน...จะร่ำไห้
..........ประเทศไทยได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งผลิตข้าวคุณภาพดีมีกลิ่นหอม แห่งหนึ่งของโลกทั้งนี้เพราะข้าวพันธุ์ขาวดอกมะลิ105( หรือต่อไปนี้จะเรียกข้าวหอมมะลิ )เป็นข้าวที่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างชื่นชมในคุณสมบัติ จำเพาะได้แก่การมีกลิ่นหอมและมีเนื้อแป้งที่มีค่าอะมิโลสต่ำทำให้ข้าวชนิด นี้มีทั้งความหอมและความนุ่มเมื่อหุงสุกแล้วแตกต่างไปจากเข้าเจ้าชนิดอื่นๆ จึงไม่น่าแปลกใจว่าราคาข้าวหอมมะลิในตลาดส่งออก(ในเดือนกันยายน 2552)มีราคาประมาณ 34,000 บาท ต่างจากข้าวขาว 5% ในตลาดส่งออกซึ่งมีราคาตันละ 540 U$$ หรือเป็นเงินไทยประมาณ 18,360 บาท ซึ่งต่างกันเกือบเท่าตัว
ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=1123&s=tblrice
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ข้าวหอมมะลิ มนต์เสน่ห์ข้าวหอมไทย


กลิ่น หอมของข้าวถือเป็นมนต์เสน่ห์ที่ชวนรับประทานที่สุด ด้วยเพราะความนุ่มและความหอมหวานทำให้ความนิยมในข้าวหอมมะลิ มีมากขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นหอมหวานของข้าวชนิดนี้เกิดจากการผสมผสานของสารระเหยมากกว่า 200 ชนิด แต่มีสารที่เป็นองค์ประกอบหลักคือสาร 2 เอพี (2-acetyl-1-pyrroline) ที่ผลิตเฉพาะในข้าวหอม ใบเตย ดอกชมนาถเชื้อ ราและแบคทีเรียบางชนิด ในเชิงวิทยาศาสตร์ ยังไม่ทราบแน่ชัดถึงบทบาทของสารหอม 2 เอพีในพืชและจุลินทรีย์ แต่เชิงโภชนาการแล้ว กลิ่นหอมของข้าวช่วยทำให้อยากรับประทานอาหารมากขึ้น
การผลิตสารหอมระเหยนี้เป็นผลมาจากการทำงานของขบวนการทางชีวเคมีใดยังไม่เป็น ที่แน่ชัด จนในปี พ.ศ. 2547 กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ไทยได้ค้นพบรหัสพันธุกรรมหรือยีนที่เป็นกุญแจสำคัญในการ สร้างสารหอมในข้าวหอมมะลิไทย และเป็นยีนเดียวกันกับที่พบในข้าวหอมทุกพันธุ์ในโลก ดังนั้น รหัสพันธุกรรมของยีนความหอมจึงได้ถูกเปิดเผยขึ้นแล้ว
การถอดรหัสยีนความหอม
ยีนความหอมเป็นลักษณะด้อย กล่าวคือเมื่อเอาข้าวหอมผสมกับข้าวไม่หอม ลูกที่ได้จะไม่หอม นั่นหมายถึง ยีนไม่หอมทำงานข่ม (dominant) ในอดีตนักวิทยาศาสตร์จากหลายประเทศ เช่น ไทย, อเมริกา, ฝรั่งเศส, ออสเตรเลีย ต่างพบว่ารหัสพันธุกรรมที่สำคัญนี้น่าจะอยู่บริเวณเล็กๆ ของโครโมโซมคู่ที่ 8 โดยวางตำแหน่งเอาไว้เทียบเคียงกันได้โดยใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอ แต่ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้ยีนนี้ได้เนื่องจาก การแยกข้าวหอมจากไม่หอมทำได้ยาก จนนักวิทยาศาสตร์ไทยสามารถสร้าง “ ข้าวคู่แฝด “ (Isogonic’s line) ได้สำเร็จ และนำไปสู่การค้นพบยีนความหอมได้ในที่สุด นับเป็นการค้นพบครั้งแรกของโลก
Rice Science Center
ที่มา http://dna.kps.ku.ac.th/index.php
วันพุธที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2553
การเพิ่มปริมาณน้ำส้มควันไม้สมุนไพร
วัสดุ/อุปกรณ์
1.ถังน้ำมันเก่าขนาด 200 ลิตร
2.แกลบดิบ 2 กระสอบปุ๋ย
3.ตะไคร้หอม 5-10 กิโลกรัม
4.ขวดน้ำพลาสติก 2 ขวด
5.ถังพลาสติกสำหรับเก็บเอาน้ำส้มควันไม้
ขั้นตอนและวิธีการผลิตน้ำส้มควันไม้
1.ดัดแปลงถังน้ำมันเก่า 200 ลิตรโดยต่อท่อออกมาด้านนอกความสูงระดับ 90% ของตัวถังเป็นรูปตัวT ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้วโดยด้านบนจะเป็นปล่องควันและด้านล่างเป็นบริเวณที่ให้น้ำส้มควันไม้หยด ออกมา ส่วนฝาปิดถังก็ต่อท่อออกมาเช่นกันความสูงประมาณ 20 เซนติเมตรจากนั้นเจาะรูด้วนสว่านข้างถังทั้ง 3 ด้านเส้นผ่าศูนย์กลาง ¾ นิ้ว(3หุน) สูงจากพื้นด้านล่างประมาณ
2.จุดไฟเผาแกลบและปิดฝาถังโดยปล่อยให้ควันลอยออกมาทางปล่องควันที่ต่อออกมา ประมาณ 1 ชั่วโมง สังเกตลักษณะของควันที่เผาไหม้ว่าอยู่ในระดับที่จะสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำ ส้มควันไม้ได้หรือไม่โดยสังเกตจากช่วงที่ควันมีสีขาวขุ่น อุณหภูมิปากปล่องระหว่าง 80-150 องศาเซลเซียสเป็นช่วงที่ผลผลิตจะมีคุณภาพดีที่สุด
3.ทำการปิดปากปล่องควันด้านบนโดยใช้ขวดพลาสติกบรรจุน้ำเปล่าปิดรูไว้ทั้ง 2 ปล่อง ควันที่ร้อนภายในเมื่อกระทบความเย็นจะเริ่มควบแน่นประมาณ 10 นาที จากนั่นกลั่นตัวออกมาเป็นหยดน้ำไหลออกมาทางด้านล่างของปล่องควันจะได้น้ำส้ม ควันไม้สมุนไพรบริสุทธิ์โดยใช้เวลาเผาไหม้ทั้งหมด 1 วันกับอีก 1 คืน
เทคนิคการเพิ่มปริมาณน้ำส้มควันไม้อยู่ที่ ส่วนของปล้องไม้ไผ่ที่เป็นกระบวกควัน ต้องพันผ้าชุบน้ำให้เย็นที่สุด หากควันร้อนกระทบกับความเย็นด้านนอกจะทำให้ได้ปริมาณน้ำส้มควันไม้เพิ่มขึ้น อีก เท่าตัวเลยทีเดียว
ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/open.php?id=1211&s=tblblog
ทานผักกากใยสูงต้านมะเร็ง
อาหารที่ก่อให้ เกิดโรคในร่างกาย ส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่มีไขมันเจือปนอยู่มาก เช่น ข้าวขา หมู ข้าวมันไก่ อาหารทอดต่างๆ หากรับประทานเป็นประจำนอกจากจะทำให้เกิดโรค อ้วนได้แล้ว ยังเป็นตัวการทำให้เกิดโรคมะเร็งในร่างกายได้อีกด้วย
เมื่อรู้ว่ามะเร็งเกิดจากการรับประทานอาหาร ก็ควรใช้วิธี “หนามยอกเอาหนาม บ่ง” คือ การเลือกรับประทานอาหารที่จะช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ซึ่งผู้รู้จัก เลือกรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและถูกต้องตามกลักโภชนาการย่อมสามารถหลีก เลี่ยงมะเร็งได้
แล้วเราควรรับประทานอาหารอย่างไร? หรือ อาหารประเภทไหนบ้าง?ที่จะช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง
คำตอบมีว่า เราควรรับประทานอาหารที่มีเยื่อใยมากๆ อาหารที่มีวิตามินและเกลือแร่สูงเป็นประจำ ในขณะที่ลดอาหารประเภทที่มีไขมันสูงให้น้อยลง
อาหารที่มีกากใยมากๆ ดีต่อร่างกายอย่างไร?
คำตอบก็คือ กากใยเป็นส่วนที่เหลือจากระบบการย่อยแล้วไม่สามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ เป็นของเสียที่ต้องถูกขับทิ้งออกจากร่างหาย ซึ่งกากใยอาหารจะถูขับผ่านลำไส้ใหญ่ไปออกทางทวารหนักเป็นอุจจาระ
กากใยอาหารดูดซับน้ำมาก รวมทั้งดูดซับสารก่อมะเร็งตกค้างอยู่ในลำไส้ด้วย กากใยอาหารจะมีน้ำหนักช่วยกระตุ้นระดับขับเคลื่อนของทางเดินอาหารทำให้เกิด การบีบตัวมากขึ้น ช่วยให้การขับถ่ายเป็นอุจจาระสะดวกขึ้นและเร็วขึ้น
แล้วกากใยอาหารได้มาจากไหน?
คำตอบก็คือได้มาจากผักผลไม้ต่างๆ ดังนั้นอาหารทุกมือจึงควรปฏิบัติ 2 ประการคือ ลดอาหารประเภทไขมันให้เหลือน้อยที่สุด เพิ่มผักผลไม้ในอาหารที่รับประทานทุกมื้อ ท่านก็จะได้กากใยที่กระเพราะและลำไส้เล็กย่อยไม่ได้ตกค้างอยู่มาก กลายเป็นของเหลือทิ้งที่ช่วยในการขับถ่ายและดูดซับสารก่อมะเร็งในลำไส้
อาหารอะไร?ที่อุดมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยต้านมะเร็ง
เราสามารรถได้รับวิตามินและเกลือแร่จากผลไม้ต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์
จากการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารพบว่า วิตามินและเกลือแร่จากผลไม้ต่างๆ ที่ประเทศไทยมีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์
จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารพบว่าวิตามินเอ และวิตามินซีสามารถป้องกันมะเร็งได้ นักวิทยาศาสตร์ด้านอาหารยังค้นพบต่อไปว่าวิตามินเอและวิตามินซีนอกจากจะ ป้องกันมะเร็งแล้วยังสามารถรักษาโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย
วิตามินเอและวิตามินซี ช่วยทำให้อายุการทำงานของระบบทำลายสารพิษของร่างกาย ซึ่งมีอยู่ในเซลล์ต่างๆ เช่น เซลล์ตับ ปอด และ ไต ทำงานได้นานขึ้น มีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสารพิษเพิ่มขึ้น ซึ่งเท่ากับไปลดอัตราการเกิดมะเร็งของอวัยวะต่างๆ ลงได้
จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่เป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งปอด มะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งลำไส้ใหญ่ มักจะเป็นผู้ที่รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอน้อย
** สรุปได้ความว่า การ กินต้านมะเร็ง ก็คือ ต้องรับประทานผัก ผลไม้อย่างเพียงพอและเป็นประจำ
พืชผักที่มีกากใยอาหารมากที่สุด 5 ชนิด คือ ใบย่านาง มะเขือพวง งา ถั่วเหลือง และ ดอกขี้เหล็ก
ผลไม้ 5 ชนิดที่มีวิตามินเอมากที่สุด คือ มะม่วงพิมเสนมัน(สุก) ส้มเขียวหวาน แคนตาลูป มะม่วงสุกทั่วไป และ ลูกพลับแห้ง (ที่มา: พรพรรณ รพี. กินต้านโรค)
ที่มา :
สุราษฎร์ ทองมาก. กินต้านมะเร็ง. นิตยสารไม่ลองไม่รู้เพื่อเกษตรวันนี้.ฉบับประจำเดือนกันยายน .นาคาอินเตอร์มีเดีย.กรุงเทพ.2553.
ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=2036&s=tblplant&g=
น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยเร่งโตบำรุงดิน
|
|
1. ต้นกล้วยสูงไม่เกิน 1 เมตรตัดเอาทั้งส่วนที่เป็นรากจนถึงยอด ประมาณ 30 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล 10 กิโลกรัม
3. สารเร่งพด.2 จำนวน 1 ซอง
4. ถังหมัก 1 ถัง
วิธีการทำ
นำต้นกล้วยที่เตรียมไว้มาสับให้ละเอียด ใส่ลงในถังหมัก นำกากน้ำตาลและสารเร่งพด.2 มาละลายน้ำทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที หลังจากนั้นนำใส่ลงไปในถังหมัก คนให้เข้ากันกับต้นกล้วยสับที่ใส่ไว้ หมักไว้ 1 เดือนก็สามารถนำไปใช้ได้
วิธีการนำไปใช้
ผู้ใหญ่สิงห์แก้วนำน้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยสูตรนี้มาใช้กับเมล็ดพันธุ์ ข้าว เพื่อเป็นการเร่งการงอกของเมล็ดข้าว โดยใช้ในอัตราส่วน น้ำหมัก 2 ช้อนต่อน้ำ 20 ลิตร แล้วนำไปแช่เมล็ดพันธุ์ข้าวประมาณ 2 วันหลังจากนั้นนำเมล็ดข้าวที่แช่เรียบร้อยแล้วมาวางไว้บนบกอีก 1 วัน จะสังเกตุได้ว่าเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ใช้น้ำหมักจุลินทรีย์หน่อกล้วยจะเพิ่ม การงอกเร็วกว่า
**นอกจากนั้นยังนำมาฉีดตอซังข้าวก่อนไถกลบตอซังในอัตราส่วนนำหมัก 1 ลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร เสร็จแล้วไถกลบทิ้งไว้ ช่วยเร่งการย่อยสลายของตอซังข้าวและทำให้ดินร่วนซุยดี ใช้เป็นปุ๋ยหมักช่วยลดต้นทุนได้
หลังจากนั้นนำมาใช้อีกครั้งก่อนปลูกข้าว โดยนำมาผสมน้ำราดลงไปในขณะที่ทำการคราดนา ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของต้นข้าวที่กำลังจะนำลงปลูกได้
ที่มา http://www.rakbankerd.com/agriculture/page.php?id=1074&s=tblrice&g=
วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553
ข้าว! อาหารมหัศจรรย์ของโลก
กระแสเลิกกินแป้ง เลิกกิน (เม็ด) ข้าว ยังวนเวียนอยู่ในหมู่คนอยากผอม แต่อยากบอกว่า คิดผิด คิดใหม่ได้ เพราะข้าว คืออาหารมหัศจรรย์ของโลกนี้ เพราะจะมีอาหารใดที่นอกจากจะให้คาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายต้องนำไปใช้เป็น พลังงานในกิจวัตรประจำวันแล้ว ยังมีวิตามินและแร่ธาตุกว่า 20 ชนิด อาทิ
- วิตามินบีรวม ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการอ่อนเพลียแขนขาไม่มีแรง ปวดกล้ามเนื้อ โรคผิวหนังบางชนิด บำรุงสมอง ทำให้เจริญอาหาร
- วิตาบินบี 1 มีมากในข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวนึ่งก่อนสี หรือข้าวเสริมวิตามิน ช่วยป้องกันโรคเหน็บชาได้
- วิตามินบี 2 ช่วยป้องกันโรคปากนกกระจอก อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ตาไม่สู้แสง
- ฟอสฟอรัส ช่วยในการเจริญเติบโตของกระดูกและฟัน
- แคลเซียม ช่วยลดอาการเป้นตะคริว
- ทองแดง ช่วยในการสร้างเม็ดเลือด
- ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง และช่วยในการล้างเม็ดเลือด
- ไขมัน (ชนิดดี) ให้พลังงาน
- สารแกมมา ออริซานอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบสูงกว่าในวิตามินซีถึง 10 เท่า ช่วยชะลอความแก่
- ไฟเบอร์ ซึ่งน่าจะเป็นสารลดน้ำหนัก ช่วยในการขับถ่าย ท้องไม่ผูก ลดการเกิดมะเร็งลำไส้กับมีสารบางตัวที่ยับยั้งการดูดซึมไขมันและน้ำตาล
- สารไนอาซิน ซึ่งจำเป็นสำหรับผิวหนัง ลิ้น การทำงานของกระเพาะอาหารและลำไส้ คนที่ขาดไนอาซินจะมีอาการความจำเสื่อม ผิวหนังหยาบอักเสบแดงง่าย
- สารโปรตีน ช่วยเสริมสร้างส่วนที่สึก
ไม่เพียงเท่านี้ในฐานะผู้อำนวยการองค์กรความหลากหลายทางชีวิภาพและภูมิปัญญา ไทยหรือไบโอไทย อย่างคุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ซึ่งอีกหมวดหนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้จัดการแผนงานฐานทรัพยากรอาหาร ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ด้วย ยืนยันว่า คุณประโยชน์ของข้าวไม่หมดเพียงเท่านี้
แต่เมื่อนำพันธุ์ข้าวพื้นบ้านทั่วประเทศไทยมาทดสอบคุณค่าทางโภชนาการกับ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดลพบว่า ข้าวมีสรรพคุณมากมายตามข้างต้นแล้ว ยังพบว่าข้าวพื้นบ้านที่ถือว่าเป็นที่สุดคือ ข้าวหน่วยเขือ ซึ่งเป็นข้าวพื้นบ้านของภาคใต้ ที่มีวิตามินอี สูงกว่าข้าวทั่วไปถึง 22 เท่า รวมถึงธาตุเหล็กก็สูงกว่าด้วยเช่นกัน
รองลงมาคือ ข้าวหอมมะลิแดง ที่พบว่ามีคุณค่าทางโภชนาการล้นเหลือแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคเบาหวานระยะ 2 ได้ด้วย เพราะจากการทดสอบการย่อยสลายตัวจากคาร์โบไฮเดรตมาเป็นกลูโคส จะใช้เวลานานกว่าข้าวทั่วไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซึมกลูโคสในปริมาณมากเกินไป ซึ่งมีสรรพคุณในการป้องกันโรคเบาหวานได้
องค์ความรู้ดีๆ อย่างนี้ คุณวิฑูรย์แนะนำว่า มีแสดงในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ 3-7 ก.ย.นี้ ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยเจ้าภาพคือ กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับองค์กรภาคีมากมาย รวมถึงสสส.ร่วมกันจัดงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 5 ภายใต้แนวคิด "ข้าวไทย ชีวิตไทย ชีวิตโลก" แสดงคุณค่าข้าวกับสังคมไทยในมิติของโภชนาการ มิติของยา มิติด้านสังคม วัฒนธรรธ ประเพณี แลมิติของผลิตภัณฑ์คุณภาพ ถือเป็นเวทีใหญ่ของสมุนไพรจากทั่วแผ่นดิน โดยสื่อให้สังคมได้เห็นคุณค่าของข้าว ที่ให้คุณประโยชน์นานัปการสำหรับชีวิตคนไทย และคนทั่วโลก ถือได้ว่าปีนี้เป็นการรวบรวมเนื้อหาสาระเกี่ยวกับข้าวและสมุนไพรไทยมากเป็น ประวัติการณ์
ทั้งนิทรรศการมีชีวิตถ่ายทอดวัฒนธรรมความผูกพันระหว่างข้าวกับคนถ่ายทอด 108 สายพันธุ์ข้าวขึ้นชื่อ มีการนำเสนอภูมิปัญญาและตระเวณถิ่นกินขนม 4 ภาค กับถ่ายทอดความรู้ในโครงการอบรมระยะสั้น 23 หลักสูตร 51 ห้องเรียนแจกฟรีพันธุ์ข้าวปทุมเทพ ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวคัดพระราชทานจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
รวมทั้งผลิตภัณฑ์แปรรูปมีการสาธิตการผลิตและจำหน่ายให้ได้นำไปใช้กัน อาทิ ข้าวสมุนไพรกันมอดจากข้าวสาร สบู่รำข้าว อาหารพื้นบ้านที่ทำจากข้าว อยางขนมขี้มอด ข้าวหมาก หรือผลิตภัณฑ์เสริมความงามจากข้าว อาทิ รำข้าวเพื่อบำรุงผิวหน้า ผิวกาย แชมพูจากน้ำซาวข้าว ครีมพอกหน้าจากรำข้าว สบู่รำข้าวสบู่ข้าวกล้องและสบู่จากน้ำมันรำข้าว แชมพูสระผมน้ำมันรำข้าว โลชั่นทาผิวหน้าน้ำมันรำข้าว ลูกประคบ ข้าวสำหรับสปา ฯลฯ
ไม่เพียงแต่ข้าวเท่านั้น ยังมีการนำเสนอเกี่ยวสมุนไพร จะมีกิจกรรมเกี่ยวกับนวัตกรรมแพทย์แผนไทย นวัตกรรมสมุนไพรไทย การประกวดสุมนไพรหายาก การประกวดสแน็คไทย ม็อคเทลสวนสมุนไพร ที่แสดงสุมนไพรประเภทต่างๆ เช่นพรรณไม้ยืนต้น พรรณไม้พุ่ม พรรณไม้เล็กที่เป็นสมุนไพร และสวนป่าสมุนไพรวิรีรุกขชาติ นอกจากนี้ยังนำเสนอสมุนไพรท้องนา ที่พบเห็นได้ตามทุ่งนา ที่ชาวบ้านเอาใช้ในชีวิตประจำวันได้ รวมไปถึงการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพร และฝ่ายวิชาการก็มีการประชุมวิชาการ ในหัวข้อ "การขับเคลื่อน แผนยุทธศาสตร์ชาติ การพัฒนาภูมิปัญญาไท สุขภาพไทย พ.ศ.2550-2554 สู่การปฏิบัติ" เพื่อเป็นการระดมแนวคิดจากทุกภาคส่วน ในการกำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และร่วมกันปฏิบัติงาน ในการพัฒนาภูมิปัญญาไทย ที่เกี่ยวข้องกับข้าวและสมุนไพร
งานดีๆ อย่างนี้ ไม่ควรพลาด เมื่อกลับจากงานได้องค์ความรู้เกี่ยวกับมหัศจรรย์ข้าวแล้ว ก็อย่าลืมทานข้าว เพื่อประโยชน์ต่อร่างกายและเป็นการสืบสานภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทยให้สืบไป ด้วย
เรื่องโดย : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553
สกัด “ติ้ว” พืชผักสมุนไพรทำสารกันหืนได้ผลดี ราคาถูก ลดต้นทุนการนำเข้า
กลิ่นเหม็นหืนหรือที่เรียกว่า “ปฏิกิริยาออกวิเดนชั่น” มีความสำคัญมากในอุตสาหกรรมอาหารซึ่งเกิดขึ้นได้ในผลิตภัณฑ์อาหารระหว่างการ เก็บวัตถุดิบ การแปรรูป การให้ความร้อนและในช่วงการเก็บของผลิตภัณฑ์ซึ่งส่วนใหญ่นำไปสู่การไม่ยอม รับการเหม็นหืนของอาหาร ไม่เพียงแต่ทำให้อาหารเสื่อมเสียแต่ยังก่อให้เกิดสารพิษ (toxic byproducts) รวมทั้งปฏิกิริยาการเสื่อมเสียอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นต้องใช้สารกันหืน (antioxidants) เพื่อ ยืดอายุการเก็บขงอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ แต่เนื่องจากผู้บริโภคยอมรับสารหันหืนที่ได้จากธรรมชาติ เช่น เมล็ดองุ่น เครื่องเทศ และวิตามินอีที่มีราคาสูงมากกว่าสารที่ได้จากการสังเคราะห์ซึ่งมีราคา ถูกกว่า ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพืชผักผลไม้ที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้นมีศักยภาพในการ นำมาสกัดเป็นสารกันหืนได้ อีกทั้งหาซื้อง่ายราคาถูก นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรในการปรุงอาหารอีกเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่มีการศึกษาว่าสารประกอบใดที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งทำหน้าที่ เป็นสารกันหืนที่มีอยู่ในพืชสมุนไพรเป็นสารประกอบประเภทใดบ้าง |
นาง นางพิชญ์อร กล่าวว่า “จากการศึกษาหาสารต้านกันหืน หรือที่เรียกว่า “ฟีนอลิก” แบ่งเป็น3 กลุ่ม กลุ่ม 1 คือผลไม้ เช่น เมล็ด กลุ่ม 2 คือ สมุนไพรและผักกินได้ เช่น ใบของพืชที่มีรสฝาด กลุ่ม 3 คือผักเคี้ยวเล่น เช่น หมาก พลู สีเสียด พบว่า สารต้านการหืนที่สกัดได้พบมากในส่วนของเมล็ดจากพืชที่ศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้ในการผลิตไวน์ เช่น ลูกหว้า มะเม่า มะเกี๋ยง นอกจากนี้ในพืชสมุนไพรที่เป็นใบอ่อนพบว่า กระถิน ติ้ว และกระโดนบก ให้สารที่มีความสามารถในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดี ส่วนกลุ่มของหมากจะมีปริมาณฟีนอลิกสูงมาก แต่มีรายงานวิจับพบว่า พืชบางชนิดในกลุ่มนี้มีสารก่อมะเร็ง จึงตัดกลุ่มนี้ทิ้งไป ส่วนกลุ่มที่มีเมล็ดมีข้อจำกัดที่ต้องทดสอบความเป็นพิษก่อน จึงหันมาศึกษาในกลุ่มสมุนไพรและผักกินได้คือ ติ้ว กระโดนบก และกระถิน ซึ่งหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป” นางพิชญ์อรกล่าวถึงขั้นตอนในการสกัดติ้วว่า “ติ้ว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า CratoxylumDyer และ ชื่อพื้นเมืองว่า ติ้วขน, ติ้วแดง, แต้วหิน, ตาว หรือติ้วขาว นำผักติ้วมาทำการหั่น บดให้ละเอียด และใส่สารเอทานอลซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ชนิดรับประทานได้มาผสม หลังจากนั้นทำการเขย่าในที่มืดใช้เวลา 4.5 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ “นอก จากนี้ยังพบว่าประเทศไทยยังมีพืชอีกมากมายที่มีศักยภาพในการนำมาสกัดสารต้าน อนุมูลอิสระ ซึ่งหากเราสามารถพัฒนาพืชของเราได้ ในอนาคตเราก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งราคาของสารที่เราสกัดได้เองนี้สามารถแข่งขันกับสารสกัดพืชทางการค้าที่ มีขายในท้องตลาดได้จากการวิจัยในครั้งนี้ได้ต่อยอดไปถึงการนำผิวเปลือกมะขาม เม็ดมะเกี๋ยง มาทำการวิจัยหาสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้า และยังเพิ่มมูลค่าให้สินค้าไทยได้อีกด้วย” นางพิชญ์อร กล่าว. ที่มา : ทิศทางเกษตร. เดลินิวส์. ฉบับที่ 20,775 วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2549 หน้า 10. |
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553
การปลูกมะลิ
มะลิเป็นไม้ดอกสีขาวที่มีกลิ่นหอม สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น เก็บดอกมาร้อยเป็นพวงมาลัย ทำเป็นดอกไม้แห้ง หรือนำมาสกัดทำน้ำมันหอมระเหย
นอกจากการใช้ประโยชน์จากดอกมะลิแล้ว ส่วนต่าง ๆ ของมะลิก็ยังนำมาใช้เป็นพืชสมุนไพรรักษาโรคได้ เช่นดอกสด ดอกแห้ง ใบสด ต้น ราก
| มะลิ | ดอก | ใช้ |
| | ดอก | ใช้ |
| | ใบ | นำ |
| | ต้น | ใช้ |
| | ราก | นำ |
| มะลิ | ราก | ใช้ |
ลักษณะทั่วไป
ลักษณะ | | | |
| ทรง เจริญเติบโตเร็ว | ทรง | คล้าย แต่ทรงพุ่มโปร่งกว่าเล็กน้อย |
| ใหญ่ รูปใบค่อนข้างกลม ปลายใบมน | ใบ | ใบ แต่เรียวกว่า สีอ่อนกว่าและบางกว่า |
| ห่าง | ค่อน | ถี่ |
| ใหญ่ | เล็ก | คล้าย |
| มัก ชุดละ 3 ดอก | มัก ชุดละ 3 ดอก | มัก ชุดละ 3 ดอก |
| ดอก | ดอก | ดอก แต่ทิ้งระยะห่างเป็นช่วง ๆ |
| |
นิยม | |
มะลิ | |
หาก |
| 1. โรค |
| 2. โรคแอนแทรก |
| |
กลยุทธ
2. การ2.1 การ
การ | |
การ
ขั้นตอนที่ 1 เก็บเกี่ยวดอกมะลิจากสวน ขั้นตอนที่ 2 ลดอุณหภูมิของดอกมะลิด้วยความเย็น จากน้ำแข็งในกล่องโฟมที่ปูพื้นกล่องด้วยน้ำแข็งเกล็ด นำดอกมะลิบรรจุในถุงพลาสติกวางลงในกล่องและปูทับด้วยน้ำแข็งเกล็ด เก็บรักษาไว้ 3 ชั่วโมง ขั้นตอนที่ 3 บรรจุดอกมะลิในถุงพลาสติกใหญ่ และนำส่งผู้ซื้อ ขั้นตอนที่ 4 ลดอุณหภูมิดอกมะลด้วยน้ำเย็น อุณหภูมิประมาณ 23 องศาเซลเซียส จนดอกสดแข็ง ขั้นตอนที่ 5 บรรจุ ดอกมะลิในถุงพลาสติกเล็ก ถุงละ 500 กรัม มัดปากถุงบรรจุในกล่องโฟม ซึ่งรองพื้นและปูทับด้วยน้ำแข็งเกล็ด เมื่อครบ 6 ชั่วโมง ให้เปลี่ยนเป็นบรรจุน้ำแข็งในถุงพลาสติก และใช้น้ำแข็งรองพื้นและปูทับถุงมะลิ เก็บรักษาไว้ 11 ชั่วโมง ก็นำมาวางผึ่งในที่ที่มีอุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส | |
ที่มา http://suphanburi.doae.go.th/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B9%E0%B8%81%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%B4.htm | |