กลิ่นเหม็นหืนหรือที่เรียกว่า “ปฏิกิริยาออกวิเดนชั่น” มีความสำคัญมากในอุตสาหกรรมอาหารซึ่งเกิดขึ้นได้ในผลิตภัณฑ์อาหารระหว่างการ เก็บวัตถุดิบ การแปรรูป การให้ความร้อนและในช่วงการเก็บของผลิตภัณฑ์ซึ่งส่วนใหญ่นำไปสู่การไม่ยอม รับการเหม็นหืนของอาหาร ไม่เพียงแต่ทำให้อาหารเสื่อมเสียแต่ยังก่อให้เกิดสารพิษ (toxic byproducts) รวมทั้งปฏิกิริยาการเสื่อมเสียอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้เราจำเป็นต้องใช้สารกันหืน (antioxidants) เพื่อ ยืดอายุการเก็บขงอาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ แต่เนื่องจากผู้บริโภคยอมรับสารหันหืนที่ได้จากธรรมชาติ เช่น เมล็ดองุ่น เครื่องเทศ และวิตามินอีที่มีราคาสูงมากกว่าสารที่ได้จากการสังเคราะห์ซึ่งมีราคา ถูกกว่า ทั้งที่ความเป็นจริงแล้วพืชผักผลไม้ที่มีอยู่ในประเทศไทยนั้นมีศักยภาพในการ นำมาสกัดเป็นสารกันหืนได้ อีกทั้งหาซื้อง่ายราคาถูก นอกจากนี้ยังมีการใช้สมุนไพรในการปรุงอาหารอีกเป็นจำนวนมาก แต่ยังไม่มีการศึกษาว่าสารประกอบใดที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งทำหน้าที่ เป็นสารกันหืนที่มีอยู่ในพืชสมุนไพรเป็นสารประกอบประเภทใดบ้าง |
นาง นางพิชญ์อร กล่าวว่า “จากการศึกษาหาสารต้านกันหืน หรือที่เรียกว่า “ฟีนอลิก” แบ่งเป็น3 กลุ่ม กลุ่ม 1 คือผลไม้ เช่น เมล็ด กลุ่ม 2 คือ สมุนไพรและผักกินได้ เช่น ใบของพืชที่มีรสฝาด กลุ่ม 3 คือผักเคี้ยวเล่น เช่น หมาก พลู สีเสียด พบว่า สารต้านการหืนที่สกัดได้พบมากในส่วนของเมล็ดจากพืชที่ศึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มที่ใช้ในการผลิตไวน์ เช่น ลูกหว้า มะเม่า มะเกี๋ยง นอกจากนี้ในพืชสมุนไพรที่เป็นใบอ่อนพบว่า กระถิน ติ้ว และกระโดนบก ให้สารที่มีความสามารถในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ดี ส่วนกลุ่มของหมากจะมีปริมาณฟีนอลิกสูงมาก แต่มีรายงานวิจับพบว่า พืชบางชนิดในกลุ่มนี้มีสารก่อมะเร็ง จึงตัดกลุ่มนี้ทิ้งไป ส่วนกลุ่มที่มีเมล็ดมีข้อจำกัดที่ต้องทดสอบความเป็นพิษก่อน จึงหันมาศึกษาในกลุ่มสมุนไพรและผักกินได้คือ ติ้ว กระโดนบก และกระถิน ซึ่งหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป” นางพิชญ์อรกล่าวถึงขั้นตอนในการสกัดติ้วว่า “ติ้ว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า CratoxylumDyer และ ชื่อพื้นเมืองว่า ติ้วขน, ติ้วแดง, แต้วหิน, ตาว หรือติ้วขาว นำผักติ้วมาทำการหั่น บดให้ละเอียด และใส่สารเอทานอลซึ่งเป็นแอลกอฮอล์ชนิดรับประทานได้มาผสม หลังจากนั้นทำการเขย่าในที่มืดใช้เวลา 4.5 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ “นอก จากนี้ยังพบว่าประเทศไทยยังมีพืชอีกมากมายที่มีศักยภาพในการนำมาสกัดสารต้าน อนุมูลอิสระ ซึ่งหากเราสามารถพัฒนาพืชของเราได้ ในอนาคตเราก็ไม่จำเป็นต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งราคาของสารที่เราสกัดได้เองนี้สามารถแข่งขันกับสารสกัดพืชทางการค้าที่ มีขายในท้องตลาดได้จากการวิจัยในครั้งนี้ได้ต่อยอดไปถึงการนำผิวเปลือกมะขาม เม็ดมะเกี๋ยง มาทำการวิจัยหาสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะช่วยลดต้นทุนการนำเข้า และยังเพิ่มมูลค่าให้สินค้าไทยได้อีกด้วย” นางพิชญ์อร กล่าว. ที่มา : ทิศทางเกษตร. เดลินิวส์. ฉบับที่ 20,775 วันพุธที่ 30 สิงหาคม 2549 หน้า 10. |