คุณอนันต์ คล่องแคล่ว เป็นเกษตรกรท่านหนึ่ง
ที่มีประสบการณ์ในการทำสวนชมพู่มานาน
ชมพู่จากสวนของคุณอนันต์ขึ้นชื่อในเรื่องของความหวานกรอบ ที่สำคัญ
ยังได้รับใบรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรหรือ GAP ด้วย คุณอนันต์
ได้บอกเล่าถึงประวัติชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์ พอสังเขปพอประดับความรู้
ชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์ หรือที่ชาวสวนในพื้นที่จังหวัดสิงห์บุรี
เรียกกันจนติดปากว่าชมพู่พันธุ์ ทองสามสี นั้น
เป็นชมพู่ที่มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศอินโดนีเซีย
นำเข้ามาในเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2538 เป็นต้นมาเดิมชมพู่พันธุ์นี้มี
ชื่อว่าชีตาโดยเกษตรกร
ได้นำมาขยายพันธุ์และมีการตั้งชื่อหลายกันไปมากมายหลายชื่อ
ทำให้สับสนในชื่อของชมพู่พันธุ์นี้บ่อยครั้ง
ชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์มีลักษณะทรงผลคล้ายกับชมพู่พันธุ์เพชรน้ำผึ้ง
ต่างกันก็คือที่ก้นผลของชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์
จะใหญ่กว่าเส้นเอ็นที่ผลจะมีลักษณะเด่นชัดกว่า มีผิวมันเป็นประกาย
รสชาติหวาน กรอบ อร่อย เนื้อแน่นไม่มีเมล็ด เป็นที่นิยมของผู้บริโภค
แต่มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปี
และมีผลไม่ค่อยดกเหมือนกับชมพู่พันธุ์อื่นๆ
และนี่ก็คือปัญหาของเกษตรกรชาวสวนในปัจจุบันที่ไม่สามารถทำกันได้
ในส่วนของจังหวัดสิงห์บุรีนั้น นายพระนาย สุวรรณรัตน์
อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสิงห์บุรี
ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรชาวสวนปลูกชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์ ตั้งแต่ปี
พ.ศ.2538 เป็นต้นมา โดยมอบหมายให้สำนักงานเกษตรจังหวัดสิงห์บุรี
และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สายต่อนโยบาย
ให้เป็นโครงการสำคัญของจังหวัด ในช่วงนั้นมีพื้นที่ในการปลูกชมพู่มากกว่า
1,000
ไร่และหลังจากนั้นไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกษตรกรชาวสวนสามารถเก็บผลผลิตเพื่อนำไป
จำหน่ายและส่งออกสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ
มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มาช่วง
ระยะมีการปลูกชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์กันอย่างแพร่หลาย ทำให้สินค้าล้นตลาด
ราคาตกต่ำ ทำให้เกษตรกรชาวสวนหลายรายเริ่มถอดใจ ทำลายต้นชมพู่ไปหลายสิบไร่
และนำไม้ผลชนิดอื่นมาปลูกแทน เช่นกระท้อน เพราะราคาดีกว่าชมพู่
จึงไม่แปลกที่ปัจจุบัน
จะมีเกษตรกรชาวสวนหลายรายหันมาปลูกกระท้อนกันเป็นจำนวนมาก
คุณอนันต์ เล่าให้ฟังว่า เริ่มแรก
ได้มีการเตรียมพื้นที่ปลูกไม้ผลใช้เงินลงทุนไปเกือบเจ็ดหมื่นบาท
โดยทำการขุดยกเป็นคันร่องปลูกจำนวน 9คันร่องกว้าง 5
เมตรขุดเป็นร่องน้ำกว้าง 3
เมตรหลังจากที่ได้เตรียมพื้นที่ปลูกแล้วคุณอนันต์
ได้ไปซื้อกิ่งพันธุ์ชมพู่ทองสามสีมาจากจังหวัดราชบุรี จำนวน 100 ต้น
เป็นจำนวนเงิน 5,000 บาท ในส่วนของพื้นที่ 9 ร่องนั้น
คุณอนันต์ได้มีการบริหารจัดการพื้นที่ทั้งหมด โดยการปลูกลำไย 1 แถว
ปลูกกระท้อน 1 แถว ที่เหลือปลูกชมพู่อีก 7
แถวส่วนที่เป็นร่องน้ำเลี้ยงปลาและสามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ตลอดทั้งปีโดยคุณ
อนันต์ได้เล่าถึงเทคนิคการเตรียมดินปลูกชมพู่พันธ์ทองสามสีหรือทับทิมจันทร์
ตามประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมาว่า
หลังจากที่ได้เตรียมดินเสร็จแล้วการเตรียมหลุมปลูกให้ขุดหลุมกว้างยาวลึก
ด้านละประมาณ 1 ศอก ระยะห่างระหว่างต้น 4
เมตรที่หลุมปลูกให้นำปุ๋ยคอกแห้งผสมกับดินในอัตราส่วน 1:1
รองก้นหลุมหลังจากนั้นให้นำกิ่งพันธุ์ลงปลูก
เกลี่ยดินกลบแล้วรดน้ำให้ชุ่มในช่วงระหว่างที่รอต้นชมพู่ออกผงเพื่อขายเป็น
รายได้แล้วระหว่างนั้นคุณอนันต์ได้ปลูกพืชอายุสั้น
เพื่อเป็นรายได้ในช่วงระหว่างการรอผลผลิตชมพู่อีกด้วย
ในส่วนของเทคนิคการดูแลต้นชมพู่หลังปลูกได้ระยะเวลา 1
เดือนคุณอนันต์เล่าให้ฟังว่าได้แบ่งใส่ปุ๋ยจำนวน 3 ครั้ง โดยใส่ปุ๋ยสูตร
16-16-16ในอัตรา 2 ขีดต่อ 1ต้น ต่อครั้ง
ใส่รอบๆต้นแล้วหลังจากนั้นให้รดน้ำตามเพื่อให้ปุ๋ยละลายลงสู่ดินซึ่งจะช่วย
ให้รากชมพู่ดึงปุ๋ยไปใช้ในการเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้นส่วนการใส่ปุ๋ยในรอบ
ที่2 ในช่วงเร่งตาดอก ให้เปลี่ยนไปใส่ปุ๋ยสูตร 8-24-24หรือ 14-14-14ในอัตรา
3 ขีดต่อต้น
เพื่อให้การติดดอกติดผลดีขึ้นและจะใส่ปุ๋ยสูตรนี้ในอัตราเดียวกันอีกครั้ง
คือครั้งที่ 3หลังจากที่มีการหลังจากห่อผลแล้ว
การใส่ปุ๋ยแบบนี้จะช่วยให้ผิวของชมพู่สีแดงเป็นมันและมีรสชาติอร่อยหรืออีก
เทคนิคหนึ่งก็คือการปล่อยให้ต้นชมพู่อดน้ำหรือให้น้ำน้อยลงบ้างก่อนเก็บผลจะ
ทำให้ชมพู่มีสีแดงเป็นมัน สีสวยน่ารับประทานเช่นกัน
การรักษาความชุ่มชื่นบนผิวดิน
จะปล่อยให้หญ้าขึ้นปกคลุมแปลงพอสมควรจะช่วยรักษาความชุ่มชื้นในดินเอาไว้ได้
ไม่ต้องรดน้ำหลายครั้งเป็นการทุ่นค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันเพื่อใช้เครื่อง
ยนต์สูบน้ำและประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง
จะเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงศัตรูธรรมชาติที่จะช่วยทำลายโรคและแมลงศัตรูของ
ชมพู่ทำให้ลดต้นทุนการผลิตของชมพู่ได้และในช่วงของการออกผล
เมื่อดอกบานไปแล้ว
15-20วันชมพู่จะติดผลมีขนาดเท่าหัวแม่มือหรือใหญ่กว่านั้นถ้าหากในช่อมีลูก
ชมพู่ติดเป็นจำนวนมากให้ปลิดทิ้งเหลือลูกที่ต้องการเท่านั้นแล้วใช้พลาสติก
สีขาวขุ่นห่อแล้วมันปากถุงให้แน่น
จนกว่าจะเก็บผลผลิตผลของชมพู่จะมีขนาดใหญ่ขายได้ราคาดี
หลังจากที่ได้สนทนากันพอสมควร คุณอนันต์
จึงพาเราเดินทางไปที่บ้านของคุณอนันต์
ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสวนของคุณอนันต์มากนัก
คุณอนันต์ได้นำรางวัลต่างๆหาให้พวกเราได้ชมกัน
ระหว่างที่นั่งชมรางวัลต่างๆกันไป
เราได้มองเห็นใบหน้าของคุณอนันต์ที่ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
พร้อมกับเอ่ยปากว่า นี่แหละคือความสำเร็จ
จากการที่ได้ทุ่มเททำสวนชมพู่มานานนับ 10 ปี วันนี้ที่รอคอยแห่งความสำเร็จ
ส่งลูกเรียนจนจบปริญญา
มีครอบครัวที่อบอุ่นถือว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจที่สุดในชีวิตครับ
คุณอนันต์ กล่าว
สำหรับท่านใดที่สนใจ
ต้องการจะเข้าไปชมสวนชมพู่พันธุ์ทับทิมจันทร์โดยปัจจุบันได้เปิดให้เป็น
แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร
หรือสั่งซื้อซื้อผลผลิตของชมพู่สามารถติดต่อโดยตรงได้ที่คุณอนันต์คล่อง
แคล่ว โทร.081-7742050ได้ทุกวันหรือท่านสามารถเข้าไปเที่ยวชมสวนได้ที่
สวนของคุณอนันต์ คล่องแคล่ว ต.ถอนสมออ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
โดยสวนชมพู่ของคุณอนันต์นี้ห่างจากตัวเมืองสิงห์บุรีเพียง12กิโลเมตรเท่า
นั้นเองครับ