หอมแดงเป็นพืชผักที่ปลูกได้ตลอดทั้งปี
แต่โดยธรรมชาติแล้ว หอมแดงชอบอากาศเย็น และกลางวันสั้น คือ
ต้องการแสงแดดเพียง 9-10 ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นหากปลูกในฤดูหนาว
หอมแดงจะมีการเจริญเติบโตดี แตกกอให้จำนวนหัวมาก และมีขนาดหัวใหญ่
แต่หอมแดงที่ปลูกในฤดูหนาวนี้จะมีอายุการเก็บเกี่ยวนานกว่าหอมแดงที่ปลูกใน
ฤดูอื่น เช่น ในฤดูหนาวทางภาคเหนือ หอมแดงจะแก่จัดเก็บเกี่ยวได้ช่วงอายุ
90-110 วัน หากปลูกในฤดูฝนจะเก็บเกี่ยวได้ในช่วงอายุ 45-60 วัน
พันธุ์ของหอมแดง ที่นิยมปลูกในบ้านเรา คือ
1. หอมแดงพันธุ์พื้นเมืองภาคเหนือ
ทางภาคเหนือเรียก หอมบั่ว
เป็นหอมแดงที่มีเปลือกนอกสีเหลืองปนส้มขนาดหัวปานกลาง ลักษณะกลมสี ใน 1
หัวแยกได้ 2-3 กลีบ กลิ่นไม่ฉุนจัด รสหวาน
ระหว่างการเจริญเติบโตไม่มีดอกและเมล็ด เมื่อปลูก 1 หัว จะแตกกอให้หัว
ประมาณ 5-8 หัว อายุเมื่อหัวแก่เต็มที่ในฤดูหนาว 90 วัน และฤดูฝน 45 วัน
ผลผลิตที่ได้แตกต่างกันตามฤดูปลูกและการดูแลรักษาได้ประมาณ 2000-3000
กิโลกรัม/ไร่ คุณภาพในการเก็บรักษาไม่ค่อยดี เพราะมีเปอร์เซ็นต์ แห้งฝ่อ
และเน่าเสียหายมากถึง 60%
2. หอมแดงพันธุ์บางช้าง หรือหอมแดงศรีสะเกษ
เป็นหอมแดง ที่มีเปลือกนอกสีม่วงปนแดง เปลือกหนาและเหนียว ขนาดหัวใหญ่
สม่ำเสมอ หัวมีลักษณะกลมใน 1 หัว มี 1-2 กลีบ กลิ่นฉุนจัด มีรสหวาน
ระหว่างการเจริญเติบโต จะสร้างดอกและเมล็ดมาก
ซึ่งจะต้องหมั่นตรวจดูและเด็ดทิ้งให้หมด มิฉะนั้นจะทำให้ได้ขนาดหัวเล็ด
และจำนวนหัวน้อย โดยทั่วไปเมื่อปลูก 1 หัวจะแตกกอให้หัวประมาณ 8-10 หัว
การแตกกอและลงหัวช้ากว่าหอมบั่วเล็กน้อย
มีอายุเมื่อหัวแก่เต็มที่ให้ฤดูหนาว 100 วันขึ้นไป และฤดูฝน 45 วัน
ให้ผลผลิตแตกต่างกันไปตามฤดูปลูกและการดูแลรักษาได้ประมาณ 1000-5000
กิโลกรัม/ไร่ คุณภาพในการเก็บรักษาดีกว่าหอมบั่ว
แหล่งเพาะปลูก
แหล่งเพาะปลูกหอมแดง มากที่สุดคือ ภาคอีสาน
ได้แก่ ศรีสะเกษ , บุรีรัมย์ , นครราชสีมา รองลงมาคือ ภาคเหนือ ได้แก่
ลำพูน , เชียงใหม่ , เชียงรายและอุตรดิตถ์ นอกจากนี้ยังมีปลูกกันที่ราชบุรี
, กาญจนบุรี และนครปฐม ด้วย
ฤดูปลูก
ปลูกได้ตลอดปี ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือ เดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์
การเตรียมดิน
หอมแดงมีระบบรากตื้น ชอบดินร่วน
มีการระบายน้ำดี แปลงปลูกควรไถพรวน หรือขุดด้วยจอบพลิกดินตากแดดไว้ก่อน 2-3
วัน แล้วย่อยดินให้เป็นก้อนเล็ก อย่าให้ละเอียดมาก เพราะจะทำให้ดินแน่น
หอมลงหัวยากควรใส่ปุ๋ยคอก , ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยมูลสัตว์ลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว
เก็บเศษวัชพืช หรือรากหญ้าอื่น ๆ
ออกให้หมดแล้วรองพื้นก่อนปลูกด้วยปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 ในปริมาณ
20-50 กิโลกรัม/ไร่
การเตรียมพันธุ์หอม
หัวหอมพันธุ์ที่จะใช้ปลูก
ควรเตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างน้อย 2 เดือน
เพราะหัวหอมที่จะใช้ปลูกควรมีระยะพักตัวอยู่สักระยะหนึ่ง
แต่ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 6 เดือน
เพราะระยะนี้หอมจะเริ่มแดงยอดอ่อนสีเขียวพ้นหัวเก่ามาแล้ว
ให้นำหัวหอมพันธุ์มาตัดแต่งทำความสะอาด ตัดเล็มรากเก่า และใบแห้งทิ้งให้หมด
หากเห็นว่ายอดอ่อนยาว อาจตัดทิ้งเสียสัก 1 ใน 10
เพื่อเร่งให้งอกไวเมื่อปลูกแล้ว ในพื้นที่ปลูก 1
ไร่จะใช้หัวหอมพันธุ์ประมาณ 200 กิโลกรัม
ก่อนปลูกหากเห็นว่าหัวหอมพันธุ์เป็นโรคราดำ หรือมีเน่าปะปนมา
ต้องฉีดพ่นหรือจุ่มน้ำสารละลายป้องกันกำจัดเชื้อราจำพวกมาเนบ หรือซีเนบ
ตามอัตราที่กำหนดในฉลาก และผึ่งลมให้แห้งก่อนนำไปปลูก
ระยะปลูก
นิยมปลูกเป็นแปลงขนาดกว้าง 1-1.5 เมตร
ความยาวของแปลง เป็นไปตามความสะดวกในการปฎิบัติงานควรปลูกเป็นแถว ระยะปลูก
15-20 ซม. หรือ 20-20 ซม.
การปลูก
ก่อนปลูกควรรดน้ำแปลงปลูกให้ดินชุ่มชื้นไว้
ล่วงหน้า นำหัวหอมพันธุ์มาปลูกลงในแปลง
โดยเอาส่วนโคนหรือที่เคยเป็นที่ออกรากเก่าจิ้มลงไปในดินประมาณครึ่งหัว
ระวังอย่ากดแรงนักจะทำให้ลำต้นหรือหัวชอกช้ำจะทำให้ไม่งอก หรืองอกรากช้า
เมื่อปลูกทั่วทั้งแปลงให้คลุมด้วยฟางหรือหญ้าแห้งหรือแกลบหนาพอสมควรเป็นการ
รักษาความชุ่มชื้นและคุมวัชพืช จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม ๆ
ต้นหอมจะงอกออกมาภายใน 7-10 วัน หากหัวใดไม่ลอกให้ทำการปลูกซ่อมทันที
การดูแลรักษา
การให้น้ำ หอม
แดงต้องการน้ำมากและสม่ำเสมอในระยะเจริญเติบโตและแตกกอ หากปลูกในที่ ๆ
มีอากาศแห้งและลมแรง อาจต้องคอยให้น้ำบ่อย ๆ เช่น ภาคอีสาน
ช่วงอากาศแห้งมาก ๆ ระยะแรกอาจให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น ในภาคเหนือ
เกษตรกรจะให้น้ำประมาณ 3-7 วันต่อครั้ง
การให้ปุ๋ย
- เมื่ออายุ 14 วัน หลังจากปลูก ควรใส่ปุ๋ยยูเรีย หรือแอมโมเนียมซัลเฟต อัตรา 20-25 กิโลกรัม/ไร่
- เมื่ออายุ 35-40 วัน ให้ใส่ปุ๋ย 15-15-15 ในอัตรา 20-50 กิโลกรัม/ไร่
การใส่ปุ๋ยใช้วิธีโรยห่าง ๆ
ต้นห่างจากต้นราว 7 ซม. หรือใช้วิธีโรยให้ทั่วแปลงก็ได้
หลังจากให้ปุ๋ยให้เอาน้ำรดหรือเอาน้ำเข้าแปลงให้ชุ่ม
การกำจัดวัชพืช
ควรกำจัดวัชพืชบ่อย ๆ เมื่อวัชพืชยังเล็ก
หากโตแล้วจะทำการกำจัดยากและจะกระทบกระเทือนรากหอมแดงได้มาก
ปัจจุบันนิยมใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชมากขึ้นเพราะประหยัดแรงงานกว่า
ตัวอย่างสารเคมีที่ใช้กำจัดวัชพืชในแปลงหอมแดง ได้แก่ อลาคลอร์
อัตราการใช้ให้ใช้ตามที่ระบุในฉลากยา
โรคแมลง
โรคที่สำคัญของหอมแดง ได้แก่ โรคเน่าเละ , โรคใบจุดสีม่วง , โรคราน้ำค้าง และ โรคแอนแทรคโนส
โรคที่สำคัญของหอมแดง ได้แก่ โรคเน่าเละ , โรคใบจุดสีม่วง , โรคราน้ำค้าง และ โรคแอนแทรคโนส
แมลงศัตรูหอมแดงที่สำคัญ ได้แก่ หนอนกระทู้หอมและเพลี้ยไฟ
ควรฉีดยาฆ่าแมลงและยากันรา
ที่ราคาไม่แพงนักทุก 7 วัน เพื่อป้องกันไว้ล่วงหน้า
หอมแดงที่ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีจะงอกงามและให้ผลผลิตเป็นที่น่าพอใจ
การเก็บเกี่ยว
โดยปกติหอมแดงที่ปลูกในฤดูหนาว
จะแก่จัดเมื่ออายุ 70-110 วัน ถ้าปลูกในฤดูฝนจะสามารถเก็บได้
เมื่ออายุประมาณ 45 วัน แต่ผลผลิตของหอมแดงทั้ง 2 ฤดูแตกต่างกัน
คือในฤดูหนาวจะให้ผลผลิตมากเป็น 2-3 เท่าของในฤดูฝน จึงเป็นเหตุให้
หอมแดงในฤดูฝนมีราคาสูงกว่า
หอมแดงที่เริ่มแก่แล้วจะสามารถสังเกตได้จาก
สีของใบจะเขียวจางลง ปลายใบเริ่มเหลืองและใบมักจะถ่างออก เอนล้มลงมากขึ้น
ถ้าบีบส่วนคอ คือบริเวณโคนใบต่อกับหัวหอม จะอ่อนนิ่ม ไม่แน่นแข็ง
แสดงว่าหอมแก่แล้ว
หลังจากเก็บเกี่ยว
มีการปฎิบัติคล้ายกระเทียม คือหอมแดงที่ถอนแล้ว
ต้องนำมาผึ่งลมในที่ร่มให้ใบเหี่ยวแห้งจากนั้นก็มัดเป็นจุก คัดขนาด
และทำความสะอาด คัดพันธุ์แล้วนำไปแขวนไว้ในที่ร่ม เช่นใต้ถุนบ้าน
ให้มีลมโกรก เพื่อระบายความชื้นจากหัวและใบหอม ไม่ให้ถูกแดด ฝนหรือน้ำค้าง
หอมแดง หากเก็บไว้ในอากาศอบอ้าวจะเกิดโรคราสีดำ
และเน่าเสียหายเช่นเดียวกับกระเทียม
การเก็บหอมแดงไว้ทำพันธุ์
หอมแดงที่แก่จัดหากเก็บรักษาไว้ดีจะฝ่อแห้ง
เสียหาย เพียง 35-40% ควรคัดเลือกหอมแดงที่จะใช้ทำพันธุ์
แยกออกมาต่างหากจากส่วนที่จะขาย และฉีดพ่นยากันรา เช่น เบนเลท ให้ทั่ว
และนำไปผึ่งลมจนแห้งสนิทจึงนำเก็บรักษาไว้ทำพันธุ์ (ไม่ควรนำมารับประทาน)
จะช่วยป้องกันไม่ให้หอมแดงเน่าเสียหายง่าย.